(Apr 29) Inverted Yield Curve สัญญาณเตือนเศรษฐกิจที่น่าจับตา - ในช่วงนี้หากผู้อ่านติดตามข่าวเศรษฐกิจ จะเห็นคนพูดถึงปรากฏการณ์ที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น หรือที่เรียกว่า "Inverted yield curve" ที่เกิดขึ้นกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าเหตุใดนักวิเคราะห์และนักลงทุนจึงให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์ดังกล่าว บางขุนพรหมชวนคิดในวันนี้จึงอยากชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับปรากฏการณ์ Inverted yield curve
ขออธิบายก่อนว่า yield curve คือ เส้นแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทน (yield) กับอายุคงเหลือของพันธบัตร (maturity) ในภาวะปกติพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น เพราะมีความเสี่ยงโดยรวมมากกว่าจากระยะเวลาการถือครองพันธบัตรที่นานกว่า เช่น ความไม่แน่นอนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยและความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ดี Inverted yield curve อาจเกิดขึ้นได้ในบางช่วงเวลา ซึ่งนักลงทุนในตลาดการเงินมักจะติดตามเหตุการณ์นี้โดยดูส่วนต่างระหว่างพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี และอายุ 2 ปี (2y-10y spread) โดยหากมีค่าติดลบแสดงว่าเกิด Inverted yield curve ขึ้น
เหตุที่ต้องจับตาภาวะดังกล่าวเนื่องจากที่ผ่านมา Inverted yield curve มักเกิดก่อนที่เศรษฐกิจจะเป็นขาลง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มักจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวมากกว่าระดับศักยภาพอัตราเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้นมากและสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ ทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด โดยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้นมากเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ส่งผลให้ yield ของพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับสูงขึ้น ทั้งนี้ หากนักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในช่วงท้ายของวัฏจักรขาขึ้น หรือมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเกิดภาวะถดถอยนักลงทุนจะคาดการณ์ว่าในระยะต่อไปธนาคารกลางจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะย้ายการลงทุนไปเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงมากขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเพื่อล็อกผลตอบแทนสูงไว้ให้นานที่สุดก่อนที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะกดดันให้ yield พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวปรับลดลง จนทำให้ yield พันธบัตรระยะยาวน้อยกว่าระยะสั้นจนเกิด Inverted yield curve ได้
Inverted yield curve จึงเป็นสัญญาณเตือนจากมุมมองของนักลงทุนที่ชี้ว่าเศรษฐกิจอาจหดตัวได้ในอนาคต ที่ผ่านมา Inverted yield curve สามารถพยากรณ์การเกิดเศรษฐกิจถดถอยได้หลายครั้ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตั้งแต่ช่วงปี 1980 เป็นต้นมา สหรัฐฯเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายใน 1 ถึง 2 ปี หลังจากเกิด Inverted yield curve
อย่างไรก็ดี Inverted Yield Curve เคยให้คำเตือนที่ผิดพลาดเช่นกัน เช่น ในปี 1982 และ 1998 ที่แม้จะเกิด Inverted yield curve แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯก็ไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยตามมาในช่วงนั้น ดังนั้น แม้ว่าในปัจจุบัน ค่า 2y-10y spread ของพันธบัตรสหรัฐฯยังเป็นบวกอยู่ที่ร้อยละ 0.2 และมีโอกาสที่จะเกิด Inverted Yield Curve ขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯที่มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายช้าลง
จึงส่งผลให้ความต้องการล็อกผลตอบแทนในระยะยาวลดลง และเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงต้นปี 2563 หรือ 2564 แต่เราจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯประกอบการพิจารณาควบคู่ไปด้วย ซึ่งเครื่องชี้เศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯต่างบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังขยายตัวได้แต่ในอัตราที่ชะลอลง จึงจำเป็นต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อไป
โดยสรุปแล้ว Inverted yield curve เป็นสัญญาณที่ต้องจับตามอง แต่ภาวะดังกล่าวเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้เศรษฐกิจถดถอยเสมอไปจึงจำเป็นต้องพิจารณาตัวเลขพื้นฐานทางเศรษฐกิจอื่นๆประกอบด้วย
คอลัมน์ บางขุนพรมชวนคิด โดย ธนันธร มหาพรประจักษ์
ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.
Source: ไทยรัฐออนไลน์
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Atricle_29Apr2019.aspx