1. ลงทุนในสิ่งที่คุณ"เข้าใจ"เท่านั้น
2. คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าการไปเดินเล่นในห้างแล้วเห็นร้านกาแฟสตาร์บัคส์เต็มไปด้วยผู้คน คุณจะต้องรีบกลับบ้าน โทรหาโบรคเกอร์และซื้อหุ้นทันที สิ่งที่คุณควรทำ คือ อ่านรายงานประจำปีของบริษัท ดูอัตราส่วนทางการเงิน ศึกษาบริษัทอย่างเข้าใจก่อนที่จะซื้อมัน
3. อย่าคิดว่าการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องง่าย ... หุ้นสามัญ มันไม่ได้สามัญ(ง่าย)เหมือนชื่อ
4. การลงทุนโดยที่ไม่ผ่านการวิเคราะห์ ก็เหมือกับเล่นไพ่แล้วไม่ได้ดูไพ่ในมือ
5. ถ้าคุณไม่เข้าใจถึงสถานะทางการเงินของบริษัท คุณก็ไม่ควรจะเข้าไปซื้อมันตั้งแต่แรก
6. คุณอาจจะเป็นนักลงทุนประเภทเล่นช๊อต (Short Selling) กำไรที่คุณจะได้มากที่สุดคือ 90% แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ชอบซื้อ (Long) กำไรที่คุณจะได้มากที่สุดคือ "สิบเท่า" หรือแม้กระทังไร้ขีดจำกัด
7. การลงทุนเป็นเรื่องที่สนุก จงสนุกกับมัน ถ้าคุณไม่ได้สนุกกับมันแสดงว่ามันไม่ใช่ทางของคุณ
8. หุ้นที่คุณควรซื้อ อาจจะเป็นหุ้นที่คุณมีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องหาหุ้นตัวใหม่อยู่ตลอดเวลา
9. ยารักษาโรคสำหรับคนที่มองว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดที่ทำกำไรได้อย่างง่ายๆ คือการตกลงอย่างหนักของราคาหุ้น
10. ถ้าคุณคิดจะอยู่ในตลาดหุ้น คุณไม่มีทางหนีพ้นในเรื่องของการปรับฐาน การลดลงอย่างหนักของตลาดหุ้น สถาวะตลาดหมีและเศรษฐกิจตกต่ำ
11. ไม่มีเรื่องน่าอายถ้าคุณลงทุนในหุ้นแล้วขาดทุน เพราะคนทุกคนก็เคยขาดทุนจากมัน แต่เรื่องที่น่าอายมากที่สุดคือ คุณไม่รู้ว่าหุ้นที่คุณถืออยู่ พื้นฐานกำลังแย่ลงเรื่อยๆ และคุณซื้อมันเพิ่มไปอีก
12. การออกไปเดินห้างสรรพสินค้า หรือท่องเที่ยวเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้เจอไอเดียใหม่ๆทางการลงทุน
13. การซื้อหุ้นของผู้บริหารมีความสำคัญมาก จงอย่ามองข้ามเพราะเหตุผลเดียวที่ผู้บริหารซื้อ คือ พวกเขารู้สึกว่าหุ้นของพวกเขาต่ำกว่ามูลค่าอย่างที่ควรจะเป็น
14. ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ผู้มีอายุน้อยได้เปรียบผู้มีอายุมาก แน่นอนว่าพ่อแม่มีเงินลงทุนมากกว่า แต่คุณมีสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ "เวลา" ยิ่งคุณเริ่มลงทุนเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีเท่านั้น จงจำไว้ว่าในระยะยาวแล้วเงินก้อนเล็กๆที่ลงทุนเร็ว จะเติบโตเร็วกว่าเงินก้อนโตที่ลงทุนช้า
ในอดีตการลงทุนในหุ้นจะได้ผลตอบแทน 10% เพื่อที่จะได้ 10% นี้คุณจะต้องสัญญากับหุ้นว่าคุณจะอยู่กับมันตลอดไปไม่ว่าทุกข์หรือสุขเหมือนกับการแต่งงานระหว่างเงินและการลงทุน
การยืนสาบานหน้ากระจกว่าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่ง่าย ในประสบการณ์ของผม ถ้าคุณถามคนกลุ่มหนึ่งว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวไหม เกือบ100%จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่บททดสอบว่ายาวจริงหรือไม่นั้นต้องรอตอนที่หุ้นตก คนที่ยังคิดว่าการปรับฐานหรือหุ้นตกเป็นเรื่องอันตราย แต่มันจะอันตรายก็ต่อเมื่อคุณขายหุ้นเท่านั้น พวกเขาลืมไปอีกอย่างว่า การที่ไม่มีหุ้นในวันที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งกว่า
15. ตราบใดที่นักวิเคราะห์เริ่ม "เบื่อ" กับการวิเคราะห์หุ้น มันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะกลับมาซื้อหุ้นอีกครั้ง
16. "หุ้นวัฐจักร" จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามให้กับนักลงทุนถ้าคุณซื้อในจุดต่ำสุด (P/E ratio สูงๆ) ในขณะเดียวกันมันจะเป็นยาพิษสำหรับนักลงทุนที่ไปซื้อตอนจุดสูงสุด (P/E ต่ำๆ)
17. "การเปลี่ยนชื่อของบริษัท" ก็เหมือนกับการเปลี่ยนชื่อของคน มีเหตุผลอยู่ 2 อย่าง นั้นคือ 1. พวกเขาแต่งงาน เลยต้องเปลี่ยนนามสกุล และ 2. พวกเขามีบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายในอดีตและอยากจะให้สังคมลืมๆมันไป
18. การลงทุนเป็นเรื่องที่สนุกและชวนให้หลงใหล ในขณะเดียวกันมันก็อันตรายมากถ้าคุณเป็นพวกที่ไม่ชอบศึกษาค้นคว้า
19. ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นวอลสตรีทเต็มไปด้วยนักวิเคราะห์ชั้นเซียน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล แต่เมื่อพวกเขามาลงทุนแล้วกลับลงทุนไม่ได้เรื่อง ข้อเท็จจริงนี้อาจจะบ่งบอกอะไรได้บางอย่าง ในบางครั้งการเพิกเฉยต่อข่าวร้ายๆก็เป็นความสามารถที่นักลงทุนต้องมี
20. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัว มีบริษัทผูกติดอยู่กับมัน จงค้นหาว่าพวกมันทำมาหากินอย่างไร ถ้าบริษัทดี หุ้นก็จะดีไปด้วย แต่ถ้าบริษัทแย่ หุ้นก็จะแย่ตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
21. กฏของการลงทุนในหุ้นข้อสำคัญที่สุด คือ จงอดทน! เมื่อคุณทำเงินจากมันได้ 10 เท่า และมองย้อนกลับมาคุณจะคิดเสมอว่า "คุ้มค่ามาก"ที่เราอดทนรอ
22. การมีหุ้นก็เหมือนกับมีลูก การมีลูกมากเกินไปจะสร้างเรื่องปวดหัวให้กับคุณ นักเล่นหุ้นบางคนติดตามบริษัทแค่ 8-12 บริษัท พวกเขาก็กลายมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้แล้ว นักลงทุนรายย่อยไม่มีความจำเป็นต้องตามหุ้นเป็น 100 ตัวอย่างที่สถาบันกองทุนเขาทำกัน
23. ถ้าคุณไม่สามารถหาหุ้นที่น่าสนใจได้ จงเอาเงินไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์
24. หลีกเลี่ยงหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมร้อนแรง จากประสบการณ์ของผม หุ้นตัวไหนที่โดยกย่องว่าจะเติบโตเป็นเลขสองหลัก นั้นคือเวลาที่เป็นจุดสูงสุดของหุ้นตัวนั้นๆ ธุรกิจไม่สามารถจะโตเป็นเลขสองหลักได้ทุกปี
25. การที่คุณคิดว่าอุตสาหกรรมบางอบ่างอาจจะฟื้นตัวได้เร็วๆนี้ ขอให้คุณรอให้มันฟื้นตัวก่อนค่อยเริ่มต้นลงทุนก็ยังไม่สาย อุตสาหกรรมรถม้าและทำวิทยุเคยถูก "คาดหวัง" ว่าจะฟื้นตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่เคยกลับมาฟื้นตัวอีกเลย
26. การตกลงอย่างหนักของตลาดหุ้นเป็นปรากฏการณ์ปกติ ก็เหมือนกับการมีฝนตกหรือแดดออก มันจะทำอะไรคุณไม่ได้ถ้าคุณมีความเตรียมพร้อม ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นโอกาสให้คุณซื้อหุ้นตัวโปรดในราคาที่มีส่วนลดจากคนที่ตื่นตระหนกตกใจขายมันอีกด้วย
27. คนทุกคนมี IQ ในการวิเคราะห์บริษัท แต่มีน้อยคนนักที่จะมี EQ มากเพียงพอจะลงทุนในหุ้นและปล่อยให้ตลาดสร้างความโลภและความกลัว ถ้าคุณเป็นบุคคลประเภทพร้อมจะขายทุกสิ่งทุกอย่างในวันที่ตลาดหุ้นตก คุณไม่เหมาะที่จะลงทุนในหุ้น รวมถึงกองทุนรวมหุ้น
28. ในระยะยาวแล้ว พอร์ตโฟลิโอที่ประกอบไปด้วยหุ้นสามัญชั้นเยี่ยม รวมถึงกองทุนรวมหุ้น จะสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตราสารหนี้ หรือกองทุนตราสารหนี้ชนิดที่ไม่เห็นฝุ่น
29. เมื่อคุณเจอหุ้นที่น่าสนใจ คุณซื้อมันเข้าพอร์ต มันอาจจะลงต่อไปได้อีก ผมเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 12 เหรียญ มันลงไปจุดต่ำสุดที่ 2 เหรียญ ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปที่ 30 เหรียญ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าจุดต่ำสุดของราคาหุ้นอยู่ที่ตรงไหน
30. ตอนที่ผมทำงานอยู่ใน Fidelity ผมมักจะได้รับเชิญไปร่วมเสวนาทิศทางตลาดและหุ้นรายตัวที่พร้อมจะระเบิดในอีก 1 เดือนข้างหน้า ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เรียกพวกเรามาเสวนา แต่เรียกพวกเรามา "ร่วมกันกังวลใจ" น่าจะเหมาะสมกว่ามาก
เวลาหุ้นขึ้นแรงๆ เหล่านักวิเคราะห์ก็จะบอกว่าหุ้นมีการขึ้นมาเยอะแล้วจะมีแรงเทขายทำกำไร ให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน…. ถ้าเมื่อใดหุ้นตกลงไปแรง แทนที่พวกเขาจะเชียร์ให้เราซื้อหุ้น พวกเขากลับบอกว่า "การตกลงมาแรงครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึงเมื่อ 2 ปีก่อนที่อเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย ให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน…" ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายๆจะมีอยู่ทุกที่และตลอดเวลา ถ้านักลงทุนเชื่อนักวิเคราะห์เหล่านั้น คุณก็จะไม่มีวันได้ซื้อหุ้นเลยเพราะจะต้อง "ชะลอการลงทุนไว้ก่อน" อยู่เสมอ
เส้นแบ่งแยกระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและนักลงทุนผู้พ่ายแพ้ ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด การอ่านงบการเงิน หรือแม้แต่การหาจังหวะที่เส้นกราฟตัดกันไปมา แต่เป็นการเพิกเฉยต่อข่าวร้ายๆที่เกิดขึ้นในวอลสตรีทต่างหาก