ห้องเม่าปีกเหล็ก

“จะอยู่อย่างไร ในระเบียบโลกใหม่ที่มาถึงแล้ว”

โดย มูซาซิ
เผยแพร่ :
142 views

“จะอยู่อย่างไร ในระเบียบโลกใหม่ที่มาถึงแล้ว”

By กฤษฎา บุญเรือง

อาเซียนจะถูกทดสอบเอกภาพ อาจเห็นการเป็นปึกแผ่นของอาเซียนเพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ โดยมีวินัยปฏิบัติตามนโยบาย “อาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียว (A United ASEAN)” หรือแต่ละประเทศจะวิ่งเต้นแบบตัวใครตัวมันโดยอ้างว่าเงื่อนไขเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน และจบลงที่การแย่งชิงการลงทุนโดย บริษัทใหญ่จากสหรัฐฯ เช่นการลงทุนเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์หรือ AI ที่กำลังทำอยู่

 

 

ผู้นำสหรัฐอเมริกาคนใหม่กำลังเปลี่ยนโจทย์ให้แทบทุกประเทศ ปล่อยข่าวใหญ่ข่าวช็อคโลกรายวัน ใครปรับตัวไม่ทันก็จะเจอวิกฤตซ้อนวิกฤต เมื่อมหาอำนาจอันดับหนึ่งเปลี่ยนจากการเป็นผู้นำโลกมาเป็นผู้ปั่นโลก แล้วจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรในระเบียบโลกใหม่ 2.0

ผู้นำหลายประเทศวิ่งเต้นล็อบบี้กับทำเนียบขาว บ้างก็สำเร็จและมีข่าวดีซื้อเวลาไปได้ระยะหนึ่ง บางคนก็ต้องกลับไปตั้งสติใหม่ แต่ที่แน่แน่ก็คือรู้แล้วว่าอเมริกาเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ทรัมป์ประกาศว่าเรื่องภาษีศุลกากร 25% ที่จะเก็บจากเม็กซิโกและแคนาดานั้นจะเริ่มต้นในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2025 หลังจากที่ได้เลื่อนเวลามาหนึ่งเดือน และจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% รวมเป็น 20% และรอบต่อไปประมาณต้นเดือนเมษายนคาดว่าหลายประเทศจะเจอสิ่งท้าทายคล้ายกัน โดยเฉพาะประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐซึ่งหมายถึงไทยด้วย

สหภาพยุโรป 27 ประเทศ รวมทั้ง อังกฤษ และแคนาดาจำเป็นต้องรีบรวมพลังเป็นเอกภาพ รู้ตัวว่าพึ่งพาอเมริกาต่อไปไม่ได้และควรใช้จีดีพีของกลุ่มซึ่งมีขนาดเทียบเคียงกับจีดีพีของอเมริกามาเตรียมไว้ต่อรอง จะเห็นการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาระดับสูง และแคนาดาจะเป็นแหล่งผลิตพลังงานปิโตรเลียมที่สำคัญของยุโรปและอังกฤษ

พันธมิตรอื่นๆของสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันจำเป็นต้องรีบปรับยุทธศาสตร์เรื่องการป้องกันประเทศ โดยไม่หวังพึ่งการคุ้มครองของกองทัพสหรัฐเช่นเกือบ 80 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในอุตสาหกรรมการทหารในประเทศเหล่านี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตในระยะสั้น โดยจะช่วยขยับการเติบโตของอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย

แต่ในระยะยาวอาจทำให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ แข่งขันการผลิตอาวุธ และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามโดยอัตโนมัติ

รัสเซียซึ่งกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยสูง 21% เงินเฟ้อ 9.5% การเงินติดขัด และกองทัพที่เสื่อมโทรม จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยจีนมากขึ้น (การค้าระหว่างรัสเซียกับจีนก่อนสงครามยูเครน $147Bต่อปี ปัจจุบัน $240B ต่อปี) รัสเซียมีความหวังขึ้นมาเมื่อทรัมป์ประกาศว่าจะปรับและยกระดับความสัมพันธ์ และจะหาทางนำกลับเข้ามาร่วมกับกลุ่ม G7 โดยการเป็น G8 เช่นเคย

แต่การ “เปลี่ยนรัสเซียจากศัตรูให้เป็นมิตร” อาจเป็นเพียงความฝัน เพราะเสียงส่วนใหญ่ในอเมริกาทั้งประชาชนและนักการเมืองยังมีความระแวงต่อรัสเซีย ขณะเดียวกันมีผลประโยชน์และประวัติศาสตร์ร่วมกับยุโรป+อังกฤษ+แคนาดามากกว่า

ชาวอเมริกัน 68% อยากให้สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยุติ แต่ขณะเดียวกันสนับสนุนยูเครนประมาณ 54%

กลุ่มยุโรปอาจตัดสินใจยึดเงินของรัสเซียที่ถูกระงับไว้ในธนาคารทางตะวันตกกว่า $300B หรือกดดันให้รัสเซียยอมยกเงินนี้แลกเปลี่ยนกับการเจรจาหยุดสงคราม และใช้เป็นส่วนหนึ่งของการการันตีความปลอดภัยให้ยูเครน อีกทั้งอาจจะแสดงเอกภาพของนาโต้ด้วยการประกาศพร้อมปฎิบัติการทางทหารหากรัสเซียคุกคามอีกครั้ง

ส่วนยูเครนเองจะอยู่รอดต่อไปหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับการต่อรองกับสหรัฐเรื่องผลประโยชน์ของแร่ธาตุหายากหรือผลตอบแทนทางการเงินอื่นๆ เนื่องจากอเมริกาภายใต้รัฐบาลนี้มีนโยบายเก็บเงินค่าคุ้มครอง และไม่ให้ความสำคัญกับซอฟพาวเวอร์ในการสร้างบารมีและความศรัทธาเหมือนในอดีต

เศรษฐกิจและการเมืองภายในจีนเป็นวิกฤติที่ยังแก้ไม่ตก ชาวจีนยังไม่มั่นใจกับนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงลดการใช้จ่าย ภาวะเงินฝืดเริ่มเป็นปัญหา รัฐบาลจีนจำเป็นต้องรีบกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงินอัดฉีดมหาศาล ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการทดแทนกับการลงทุนจากต่างประเทศที่หดหายไปเป็นประวัติศาสตร์

ความสัมพันธ์ของจีนกับต่างประเทศไม่ราบรื่นเหมือนเช่นเคย หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนจากการต้อนรับด้วยความเต็มใจมาเป็นความระแวง

และบางประเทศเริ่มเปิดไฟเขียวให้ประชาชนของตนต่อต้านอิทธิพลของจีนอย่างเปิดเผย

หลายประเทศกลัวถูกถล่มโดยสินค้าจากจีนที่ทำลายเสถียรภาพของการผลิตของประเทศตนเอง และกลัวดุลการค้าที่จีนได้เปรียบ (มูลค่าการส่งออกของจีนประมาณ $3.59 ล้านล้านต่อปี และได้เปรียบดุลการค้าปีละ $1ล้านล้านจากทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็นดุลการค้าที่ได้เปรียบต่อสหรัฐฯคือ $400B)

จีนต้องดำเนินนโยบายต่อสหรัฐฯแบบคู่ขนาน คือ เจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์คู่ไปกับการสู้กลับและกล้าชน ภายในระยะสั้นจีนจะใช้วิธีประนีประนอมและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯโดยการทูต แข็งกร้าวเหมือนในอดีต

นอกเหนือจากจีนจะติดตามอ่านพฤติกรรมของทรัมป์ 2.0 และผลกระทบต่อประเทศต่างๆแล้ว จีนจะซื้อเวลารอไปอีกจนถึงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายน 2026 ว่าฝ่ายค้านจะชนะได้เสียงข้างมากมาคานอำนาจประธานาธิบดีหรือไม่ หากพลังของทรัมป์ในสภาอ่อนลง นโยบายของจีนก็จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้อง

การเร่งรีบปรับปรุงภาพลักษณ์ของจีนในภูมิภาค โดยเฉพาะบริเวณรอบไทย เช่น การปราบปราม อาชญากรรมออนไลน์ที่มีต้นกำเนิดและเครือข่ายมาจากจีนนั้น “เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อไม่ให้เป็นข้ออ้างของสหรัฐฯเข้ามาแทรกแซงในประเทศเหล่านี้ซึ่งเป็นถิ่นอิทธิพลและเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงของจีน”

อาเซียนจะถูกทดสอบเอกภาพ อาจเห็นการเป็นปึกแผ่นของอาเซียนเพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ โดยมีวินัยปฏิบัติตามนโยบาย “อาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียว (A United ASEAN)” หรือแต่ละประเทศจะวิ่งเต้นแบบตัวใครตัวมันโดยอ้างว่าเงื่อนไขเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน และจบลงที่การแย่งชิงการลงทุนโดย บริษัทใหญ่จากสหรัฐฯ เช่นการลงทุนเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์หรือ AI ที่กำลังทำอยู่

ขณะเดียวกันประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนจะรักษาความสมดุลย์กับจีน เน้นความเป็นกลางไม่ให้เกิดความระแวงโดยจีนและอเมริกา ส่วนในทางปฏิบัติจะทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง และการตัดสินใจของผู้นำประเทศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

การที่รัฐบาลไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับจีนในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ แม้มีเสียงคัดค้านและคาดโทษโดยสหรัฐ ตามมาด้วยการประณามในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงรุนแรงหรือเฉียบพลันเพียงใดเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามต่อไป ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองในประเทศที่ยังไม่รู้จะลงเอยด้วยการปรับคณะรัฐมนตรี หรือ การยุบสภา หรือ ทางออกอย่างอื่น

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/investment/1169138

 


มูซาซิ