ในปัจจุบัน เวลาเราพูดถึงวอเร็น บัฟเฟตต์ เรามักจะพูดถึง "เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮ่า" (Oracle of Omaha) ผู้ซึ่งเป็นตำนานทางด้านการลงทุน การซื้อธุรกิจ การจัดการบริหารธุรกิจ และรวมไปถึงเป็นนักปรัชญาสร้างแรงบรรดาลใจให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ทั่วโลกอีกด้วย
รู้หรือไม่ว่า บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นครั้งแรกตอนเขาอายุ 11 ปี และอายุ 16 ปี เขาก็สร้างสินทรัพย์ได้อย่างน่าประหลาดใจถึง $53,000 โดยการร่วมทุนทางธุรกิจและการลงทุน บัฟเฟตต์ถือว่ามีแววที่จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย
เหมือนกับคนทั่วไป ชีวิตเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีทั้งความผิดหวังและความสมหวัง เขาล้มเหลวทางการลงทุน เขาขาดทุนหนักจากหุ้นหลายๆ ตัว ชีวิตทางการศึกษาที่ถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Harvard Business School แต่ความล้มเหลวที่มากมายเหล่านีเป็นแรงผลักดันทำให้เขามีความขยันและพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อที่จะทำให้ตัวเขาเองประสบความสำเร็จ และเขาก็มาถึงจุดนั้นเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตเขาจะยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น
เรามาดูกันว่าความจริงที่วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่เคยบอกคุณ 20 ข้อ จะมีอะไรบ้าง สำหรับบ้างข้อนั้น ฉันคิดว่าจะทำให้คุณร้อง ว้าว ! กันเลยทีเดียว
1. เขาซื้อหุ้นครั้งแรกตอนเขาอายุ 11 ปี
อะไรนะ! อายุ 11 ปี เลยเหรอ ! เด็กโดยทั่วไปอายุแค่นั้นยังคงวิ่งเล่นอยู่ในสนามบอล หรือกำลังนั่งอ่านการ์ตูนอยู่ในห้องนอน แต่สำหรับบัฟเฟตต์แล้วดูเหมือนว่าเขาคงจะชอบอ่าน รายงานประจำปีมากกว่าหนังสือการ์ตูนเป็นแน่แท้ บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิต ปี 1942 ตอนที่เขาอายุ 11 ปี คือหุ้น Cities Service ที่ราคา $38
2. เขาทำเงินได้มากถึง $53,000 ตอนเขาอายุ 16 ปี
ต้ังแต่ยังเด็ก บัฟเฟตต์ไม่เพียงแค่เป็นเด็กที่ไหวพริบดี เขายังเป็นพวกบ้างานอีกด้วย ตอนที่ครอบครัวของเขาย้ายไปโอมาฮ่า เนบราสก้า บัฟเฟตต์รับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ของวอชิงตันโพสต์ โดยมีค่าจ้างตอบแทนประมาณ $175 ต่อเดือน ซึ่งถือว่ามากกว่าค่าจ้างของอาชีพครู ซะด้วยซ้ำ ณ เวลานั้น
นอกจากนี้เขายังทำงานพิเศษโดยการรับจ้าง งมหาลูกกอล์ฟตามสนามกอล์ฟ เก็บสะสมสแตมป์หายาก และรับจ้างล้างรถอีกด้วย ตอนที่เขาอายุ 16 ขวบ บัฟเฟตต์มีเงินเก็บมากถึง $53,000
3. เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
หลังจากที่เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเนบาสก้า บัฟเฟตต์ก็สมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่เสียดายที่เขาถูกปฏิเสธมันในเวลาต่อมา
หลังจากความผิดหวังครั้งนั้น บัฟเฟตต์ได้ค้นพบว่าบุคคลที่เขานับถือทางการลงทุนอย่างเบนจามิน เกรแฮม และเดวิด ดอร์ด ได้สอนวิชาการลงทุนและประเมินหลักทรัพย์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
"หลังจากที่ผมรู้ ผมเขียนจดหมายไปหาพวกเขาทันที จำได้ว่าช่วงนั้นน่าจะประมาณกลางเดือนสิงหาคม" บัฟเฟตต์กล่าว "ผมเขียนว่า ถึงศาสตราจารย์ดอร์ดที่นับถือ ผมคิดว่าพวกคุณตายไปแล้วซะอีก หรือไม่ก็คงจะอาศัยอยู่ในเทือกเขาโอลิมปัส แต่ตอนนี้ผมได้รู้ว่าพวกคุณยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้และสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผมอยากจะเรียนกับพวกคุณมาก ได้โปรดรับผมเข้าเรียนด้วย" และสุดท้ายพวกเขาก็รับผมเข้าเรียน
4. เขากินเหมือนเด็กอายุ 6 ขวบ
บัฟเฟตต์เปิดเผยเคล็ดลับทำอย่างไรให้ดูหนุ่มอยู่เสมอ เขาแนะว่าดื่มโคคา โคล่าและกินไอศกครีม
ระหว่างที่สัมภาษณ์ในนิตยสาร Fortune บัฟเฟตต์กล่าวว่า "ถ้าผมบริโภค 2,700 แคลอรี่ต่อวัน หนึ่งในสี่ของทั้งหมดมาจากโคล่า ผมดื่มมันทุกวัน"
บางครั้งอาหารเช้าของผม เป็นขนมมันฝรั่งทอดกรอบและโคล่า บางครั้งอากาศหนาวมากผมก็ใส่เสื้อหนาวและกินไอศกครีมไปด้วยระหว่างที่ใส่เสื้อหนาว
พอถูกถามว่า ทำอย่างไรให้สุขภาพดีและอายุยืนยาวได้อย่างคุณ ซึ่งอาจจะต้องลดการกินเค็มหรือหวานไหม บัฟเฟตต์ตอบว่า "ผมเคยดูในอินเตอร์เน็ต ผมค้นพบว่าอายุของเด็กที่มีอัตราการตายต่ำที่สุด คือ 6 ขวบ ผมเลยไปดูว่าเด็ก 6 ขวบ เขานิยมกินอะไร ผมก็กินแบบนั้น"
5. เขาอยู่ในบ้านหลังเดิมมาตั้งแต่ปี 1958
เมื่อคุณกำลังพูดถึงคนรวย คุณจะต้องพูดว่าเขามีบ้านหลังใหญ่ หรืออยู่ในห้องชุดระดับหรู พักผ่อนอยู่ริมทะเลสาบล้อมรอบไปด้วยรถราคาแพง แต่นั้นคงไม่ใช่สำหรับวอเร็น บัฟเฟตต์ และนั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเราถึงชื่นชอบเขาเป็นพิเศษ
บัฟเฟตต์เผยว่าเขาอยู่บ้านหลังเดิมในเมืองโอมาฮ่าตั้งแต่ปี 1958 ซึ่งเขาซื้อมันในราคา $31,500 ประกอบไปด้วย 5 ห้องนอนอันแสนธรรมดา 2 ห้องน้ำ และอีก 1 ห้องส้วม
6. พ่อตาของบัฟเฟตต์ (father-in-law) บอกว่าบัฟเฟตต์จะล้มเหลว
หลังจากการแต่งงานในปี 1951 พ่อตาของบัฟเฟตต์เรียกบัฟเฟตต์มาเพื่อที่จะ "พูดคุย" พ่อตาของเขาคิดว่าเขาไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนักกับเขา เพราะเขาเชื่อว่าบัฟเฟตต์จะล้มเหลวอย่างแน่นอน
เท่าที่เขาจำได้ ระหว่างการให้สัมภาษณ์ทาง CNBC บัฟเฟตต์กล่าวว่า "พ่อตาของเขาพยายามโน้มน้าวว่าอย่าตั้งความหวังอะไรมากนัก เพื่อที่จะไม่ให้พบกับความผิดหวังที่มากเกินไป แกจะล้มเหลวอย่างแน่นอน และลูกสาวของเขาจะต้องตายอย่างหิวโหย แต่ยังไงฉันก็จะไม่โทษแกหรอกเพราะอะไรรู้ไหม เพราะพรรคการเมืองงี่เง่าอย่างเดโมแครตจะเข้ามาบริหารประเทศ และทุกๆ คนจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์"
7. มีคนจำนวนมากยอมที่จะจ่ายเงินเป็นล้านเพื่อที่จะได้กินข้าวกับบัฟเฟตต์เพียงมื้อเดียว
มีใครบ้างที่ไม่อยากกินข้าวกับเทพยากรณ์แห่งโอมาฮ่าอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ .. ไม่มีอย่างแน่นอน เพราะการได้กินข้าวและฟังปรัชญาของเขาก็มีมูลค่ามากมหาศาลแล้ว บางคนยอมที่จะจ่ายเงินมากถึง $3.4 ล้านเหรียญเพื่อที่จะได้กินข้าวกับเขา
ในปี 2000 บัฟเฟตต์ได้รวบรวมเงินเพื่อที่จะก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือคนยากจนโดยเชิญมารับประทานอาหารกลางวันเพื่อการกุศล (charity lunch) มีคนจำนวนมากให้ความสนใจและประมูลที่นั่งมูลค่าสูงถึง $3.4 ล้านเหรียญ เงินถูกนำไปช่วยคนยากไร้ได้สำเร็จ และทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ชนะการประมูลเป็นใคร รู้เพียงแค่ว่าพวกเขาไปทานอาหารกลางวันกันที่ Smith and Wollensky steakhouse ใน New York City.
ในการประมูลครั้งนั้นมีคนได้ไป 7 คน รวมแล้วได้เงินสูงถึง 20 ล้านเหรียญ
8. ในปี 2013 บัฟเฟตต์สร้างกระแสเงินสดเข้ากระเป๋าได้สูงถึง 37 ล้านเหรียญต่อวัน
สิ้นปี 2013 บัฟเฟตต์มีสินทรัพย์สุทธิประมาณ $59 billion เพิ่มมาจาก $46 billion เมื่อตอนต้นปีภายในปีเดียวกัน นั้นหมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้วบัฟเฟตต์สร้างเงินสดเข้ากระเป๋าได้วันละ 37 ล้านเหรียญ นั้นเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการพุ่งขึ้นของราคาหุ้น
ถ้าให้บัฟเฟตต์เป็นบริษัท ความมั่งคั่งของเขาก็คงมีมูลค่ามากกว่ากาแฟสตาร์บัคส์และเว็บอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่างอีเบย์ (ข้อมูลปี 2015)
(ที่มาภาพ : www.linkedin.com)
9. ความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์ประมาณ 94% ถูกสร้างขึ้นตอนที่เขาอายุ 60 ปี
ใครๆก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม แม้แต่ตัวบัฟเฟตต์เองที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงตอนอายุ 60 ปี ตอนที่เขาอายุ 52 ปี เขามีความมั่งคั่งประมาณ $376 million และตอนที่เขาอายุ 60 ปี เขามีสินทรัพย์ประมาณ $3.8 billion นั้นหมายความว่า ความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์ประมาณ 94% ถูกสร้างขึ้นตอนที่เขาอายุ 60 ปี
10. เขาไม่เคยเล่นทวิตเตอร์ ถึงแม้เขาจะมีบัญชีทวิตเตอร์
บัฟเฟตต์เล่นทวิตเตอร์ แต่เป็นบัญชีที่เขาไม่เคยทวีตเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว .. !!!
(ที่มาภาพ : twitter.com/warrenbuffett)
ใช่แล้ว! ถึงแม้บัฟเฟตต์จะมีบัญชีของทวิตเตอร์ (@WarrenBuffett) ซึ่งมีผู้ติดตามเขามากถึง 1.25 ล้านคน แต่เขาทวิตข้อความเพียงแค่ 9 ครั้งเท่านั้นเอง และใน 9 ครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้เป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองเลย
ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาแนะนำให้ผมรู้จักกับทวิตเตอร์ โซเชียลเน็ตเวิร์ครูปแบบใหม่ เขาจะเป็นคนเขียนและทวิตข้อความเองซึ่งมาจากการคุยกับผม แต่ในความเป็นจริงแล้วผมไม่เคยเข้าไปเขียนเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
-------------------------------------------------------
ที่มา : www.entrepreneur.com
เขียนโดย Rose Leadem , Online Editorial Assistant
แปลโดย SiTh LoRd PaCk