‘บาทแข็ง‘ สวนศก.ไทยเปราะบาง หวั่นซ้ำเติม ’ผู้ส่งออก’ รายได้ดิ่ง
- เงินบาทแข็งค่าสุดเป็นอันดับ 6ของภูมิภาค แข็งค่าขึ้น 4.20%
- 3อันดับค่าเงินแข็งค่าสุด เยนญี่ปุ่น 9.14% ดอลลาร์ไต้หวัน 6.18% และวอนเกาหลี 5.48%
- นักวิเคราะห์ชี้เงินบาทแข็งค่าจากทองคำพุ่ง-ดอลลาร์อ่อนค่า
- ห่วงเงินบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน สวนทางเศรษฐกิจไทยปัจจุบันที่เปราะบาง
- ไม่สอดคล้อง เงินไหลออก ตลาดพันธบัตรมียอดขายสุทธิของต่างชาติ
- ขณะที่ 'เงินบาท' ยังผันผวนสูงที่ 8.7%ผันผวนกว่าปี 67 หนุน ‘ทุนสำรอง’จ่อทำนิวไฮใหม่

“อัตราแลกเปลี่ยน” หรือค่าเงินบาทไทย กลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์นี้ ล่าสุดแตะระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์
ซึ่งเป็นการแข็งค่าต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นเดือนเป็นต้นมา ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลก และจากราคาทองคำโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ซึ่งถือเป็นปัจจัยน่าห่วงสำหรับ “เศรษฐกิจไทย” เพราะการแข็งค่าของเงินบาท ไม่ได้สะท้อนภาพการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย แต่ภาวะปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังอยู่ท่ามกลางความ “เปราะบาง” และไร้ปัจจัยบวกหนุน ดังนั้น การแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ยิ่ง “ทรุด” ลงไปกว่าเดิม
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่ามาแตะระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ ถือเป็นระดับที่แข็งค่าขึ้นหากเทียบกับช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
โดยปัจจัยหนุนหลักมาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ จากราคาทองคำที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์ที่ยังอยู่ในช่วงอ่อนแอ
โดยหนึ่งในแรงผลักสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าคือ ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา จากการที่นักลงทุนหันกลับมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครน แม้จะยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่สร้างความกังวลต่อตลาดการเงินโลก
อีกด้านมาจากค่าเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเสถียรภาพทางการคลังและการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า จากการลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ โดยมูดี้ส์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สะท้อนภาพของความเปราะบางต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากขึ้น และความไม่ชัดเจนจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ยิ่งทำให้ตลาดลดความมั่นใจในการลงทุนในดอลลาร์ในระยะนี้
บาทแข็งส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตามแม้ ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้นำเข้า ให้มีต้นทุนต่างๆ ที่ถูกลง แต่เหล่านี้เป็นผลลบ และเป็นความท้าทายมากขึ้นต่อผู้ส่งออก และผู้ที่มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศให้ลดลง ซ้ำเติมกับเศรษฐกิจไทยที่ปัจจุบันยังไม่มีแรงส่งจากปัจจัยพื้นฐานมากนัก
“เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น ในช่วงที่ไม่มีปัจจัยภายในประเทศหนุนเท่าไหร่ ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางสูง”
อย่างไรก็ตาม นอกจากเงินบาทแข็งค่ามากขึ้น เงินบาทยังมีความผันผวนสูง โดยหากดูตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบัน ค่าความผันผวนของเงินบาทอยู่ที่ 8.7% หากเทียบกับทั้งปี 2567 ที่ค่าความผันผวนอยู่เพียง 8% เท่านั้น สะท้อนว่าการเข้าไปดูแลเงินบาทในระยะนี้มีความท้าทายมากขึ้น
เงินบาทแข็งค่า“ผิดปกติ”
นายสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย Investment market Research สายธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนธนาคาร กรุงไทย กล่าวว่า การแข็งค่าเงินบาทในปัจจุบันถือว่า แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วที่มาจากภาวะชั่วคราวจากแรงเก็งกำไรทองคำ และดอลลาร์อ่อนค่ามากกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง
โดยการแข็งค่าของเงินบาท ครั้งนี้ปัจจัยหลักมาจาก แข็งค่าตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นแรง โดยราคาทองคำปรับขึ้นกว่า 27% ตั้งแต่ต้นปี (YTD) ส่งผลให้เกิดแรงซื้อเงินบาทในตลาดโลกเพื่อเข้าซื้อทองคำ ส่งผลต่อความต้องการเงินบาทในตลาดโลก
“ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า มองว่ามาจากทองคำเป็นหลัก จากราคาทองที่เพิ่มขึ้นสูง และด้วยเงินบาทมีความสัมพันธ์หรือ Correlation กับทองคำค่อนข้างมากราว 0.5% หมายความว่า หากทองขึ้น 10 บาท เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 0.5 บาท ทำให้เงินบาทตอนนี้กลายเป็น Commodity Currency ไปโดยปริยาย”
นอกจากนี้ ท่ามกลางที่นักลงทุนจำนวนมากยังคงมองหาทรัพย์สินปลอดภัย จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางในฉนวนกาซา และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อ
เงินบาทแข็งขึ้นตาม “สกุลเงินวอน-เยน”
อย่างไรก็ดี มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทครั้งนี้ไม่ควรเป็นไปในทิศทางเดียวกับ เงินวอนของเกาหลีใต้ เงินเยนของญี่ปุ่น หรือเงินดอลลาร์ไต้หวัน ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตามการอ่อนค่าของดอลลาร์ฯ เพราะการที่ค่าเงินในประเทศดังกล่าวแข็งค่าขึ้น
สะท้อนว่า มีการถือสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์ค่อนข้างมาก และเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าก็จะเห็นการขายดอลลาร์เพื่อดึงเงินกลับ ซึ่งต่างกับไทยที่มีสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์น้อยกว่า แต่การแข็งค่าของค่าเงินใกล้เคียงกับสกุลในข้างต้น ดังนั้นมองว่าผิดปกติ
“ไทยไม่ได้มีดอลลาร์แอสเซทเยอะขนาดนั้น การแข็งค่าของเงินบาทจึงไม่ควรเร็วหรือแรงเท่ากับประเทศเหล่านั้น โดยหากดูสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุด จากสิ้นปีถึงปัจจุบันคือ เงินเยนแข็งค่าขึ้น 9.14% ดอลลาร์ไต้หวัน 8.79% วอนเกาหลี 6.18% และไทยอยู่อันดับ 6 แข็งค่าที่ 4.20% ใกล้กับสกุลเงินที่แข็งค่าอันดับต้นๆ แปลว่ามีอะไรผิดปกติแม้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทจะอยู่ระดับกลางๆหากเทียบภูมิภาค”
คาดทุนสำรองทำนิวไฮต่อ
อย่างไรก็ตาม จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า และผันผวนสูง ส่งผลสะท้อนให้เห็นผ่านทุนสำรองของไทยที่ล่าสุดสูงขึ้นต่อเนื่อง เกือบขึ้นไปสูงสุดระดับนิวไฮเดิมที่ ที่ 259,000 ล้านดอลลาร์ วันนี้ทุนสำรองของไทยอยู่ที่ 257,000 ล้านดอลลาร์ ดังนั้น มองในระยะสั้นๆ นี้อาจเห็นทุนสำรองของไทยขึ้นทำระดับนิวไฮได้ต่อไป สะท้อนการเข้ามาดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อเนื่อง
สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะต่อไปคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์ หากไม่มีปัจจัยบวกจากราคาทองคำ หรือดอลลาร์ไม่อ่อนค่าต่อเนื่อง เงินบาทก็น่าจะเห็นการย่อตัวอ่อนค่าลงได้
เงินบาทแข็งค่าตามภูมิภาค
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยแตะระดับแข็งค่าที่สุดในรอบหลายสัปดาห์ตามทิศทางเงินสกุลหลักในเอเชีย เป็นผลจากปัจจัยภายนอก ทั้งราคาน้ำมันดิบและทองคำที่พุ่งขึ้นจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงการคาดการณ์ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นอาจหารือกับสหรัฐเรื่องการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์
ขณะที่ภาพรวมฟันด์โฟลว์ยังไม่เห็นการไหลเข้าชัดเจน สะท้อนว่าการแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยโดยตรง ไม่ได้สะท้อนเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแข็งแรง หรือภาคส่งออกที่สดใส
อย่างไรก็ตาม มองคาดกรอบเงินบาทระยะสั้น 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีโอกาสแข็งค่าลงไปแตะ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ได้หากมีการเจรจาสำคัญของรัฐบาลกับสหรัฐ
“ถ้าไม่มีข่าวเชิงบวกใหม่ๆ เราเชื่อว่าเงินบาทจะแข็งต่อได้ไม่มาก โอกาสจะหลุด 32 อย่างมีนัยสำคัญยังมีจำกัด เว้นแต่มีพัฒนาการระดับรัฐที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างชาติ”
ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าบอนด์ไทย
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า ต่างชาติไหลเข้าบอนด์ไทยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีราว 5.9 หมื่นล้านบาท ยังมีทิศทางไหลเข้าต่อเนื่อง จากความกังวลผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทำให้มีความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจขยับขึ้น และทำให้เฟดไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้
นอกจากนี้กฎหมายภาษีใหม่ของสหรัฐ เพื่อขยายมาตรการลดภาษีที่ผ่าน ทำให้ตลาดกังวลความเสี่ยงการคลังของสหรัฐฯ หลังจากที่พึ่งโดนหั่นเครดิตจากมูดี้ส์ (โดยคณะกรรมการภาษีร่วมของสภาคองเกรสประเมินว่า มาตรการลดภาษีนี้จะมีต้นทุน 3.72 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปี) หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากบาทแข็ง คือ กลุ่มที่มีหนี้สกุลต่างประเทศสูง และกลุ่มที่มีต้นทุนการดำเนินงานจากต่างประเทศ กลุ่มพลังงาน ปิโตรฯ
“เอกชน” ชี้เงินบาทผันผวนเร็ว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ความผันผวนของค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกทำให้ผู้ส่งออกค่อนข้างระมัดระวังโดยเฉพาะช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง เกิดความผันผวนค่อนข้างสูงส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและเงินบาทแข็งค่า และมาตอนนี้ค่อนข้างผันผวน
ทั้งนี้ ผู้ส่งออกใช้วิธีรับประกันความเสี่ยงล่วงหน้าโดยจะกระทบกับล็อตสินค้าต่อไปในการที่จะโค้ดราคาเพราะจะมีปัญหาและความเสี่ยงที่จะได้รับเงินน้อยลง หรืออาจจะต้องปรับขึ้นราคาสินค้าจะแข่งขันยากเพราะราคาสูงและผู้นำเข้าจะเลือกสั่งซื้อสินค้าจากประเทศคู่แข่งทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องกัดฟันรับภาระอาจต้องขาดทุนและอยู่ได้ไม่นาน
บาทแข็งไม่สอดคล้องเศรษฐกิจ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่าเงินบาทแข็งเป็นอีกปัญหาที่ผู้ส่งออกรับผลกระทบมาระยะหนึ่งซึ่งปกติเงินบาทแข็งจะเกิดจากเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาก รวมถึงภาคการท่องเที่ยวขยายตัวแต่เงินบาทแข็งรอบนี้เกิดจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์จากการเปลี่ยนนโยบายตลอดเวลาของสหรัฐ ซึ่งทำให้ค่าเงินผันผวนทั้งโลกไม่เฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ดังนั้นควรรับมือ ดังนี้
1.การยอมรับทำการค้าในรูปแบบเงินบาท ที่ดำเนินการกับการค้าบางส่วนกับประเทศเพื่อนบ้านที่ทำมาต่อเนื่องจะเป็นตัวช่วยทำให้ผู้ซื้อผู้ขายไม่เจ็บตัว
2.การยอมรับเงินสกุลอื่น 3-4 สกุลเช่นเงินเยนและเงินหยวนซึ่งมีข้อตกลงระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารกลางของประเทศในภูมิภาค
3.การประกันความเสี่ยงค่าเงิน คือการล็อกค่าเงินแต่ก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายให้กับธนาคารเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่ประกันต้องจ่ายเงิน กำไรที่มีน้อยก็ต้องแบ่งให้กับธนาคารด้วย
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1181355