ฝุ่นตลบตลาดหุ้นไทย โอกาสการลงุทนมาถึงแล้วรึยัง?
ตลาดหุ้นของบ้านเราที่ผ่านมาในปี 2566 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่เรียกว่าเผชิญความกดดันจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นของบ้านเราที่ผ่านมาในปี 2566 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่เรียกว่าเผชิญความกดดันจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนตุลาคม ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลง 138.83 จุด หรือ 8.9% แม้ว่าก่อนหน้านี้บรรยากาศการลงทุนได้ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนความคาดหวังจากการที่ประเทศไทยจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นที่เรียบร้อย ภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มกลับมาเติบโต และภาคการท่องเที่ยวในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของรอบนี้ และมีการปรับคาดการณ์มุมมองเศรษฐกิจในปีหน้าดีขึ้น แต่ทั้งหมดที่เป็นปัจจัยบวกด้านการลงทุนได้ถูกลดทอนจากปัจจัยภายนอกประเทศ และความเชื่อมั่นจากนักลงทุนที่กำลังกังวลถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทย
โดยตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยกดดันเพิ่มมากขึ้น และยังไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนมาหักล้าง เป็นเหตุให้หุ้นหลายตัวปรับตัวลง ซึ่งนักลงทุนยังคงกังวลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในหุ้นกับผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลที่แคบลง
โดยเฉพาะเมื่อนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมายเงินเฟ้อระยาวที่ 2% ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริง บริษัทต่าง ๆ จะต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและยาวนานขึ้นไปอีก ส่งผลต่อภาวะการลงทุน การจ้างงาน กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ซึ่งทำให้ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มมากขึ้น
อีกทั้งราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะได้รับผลกระทบหากสงครามระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอลยืดเยื้อ นอกจากนี้ บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังเหตุการณ์ที่สยามพารากอนกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การฉีดยากระตุ้นเศรษฐกิจของไทยจากรัฐบาลที่อาจจะเห็นผลดีในระยะสั้น แต่อาจทำให้มีผลข้างเคียงในระยะยาว ทำให้นโยบายการคลังของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ยังต้องจับตามอง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอมาก่อนหน้านี้เมื่อมีผลบังคับใช้จริงจะส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่มจำนวนมากน้อยเพียงไร และจะมีผลต่อการถูกลดอันดับเครดิตของประเทศไทยหรือไม่ รวมถึงความเสี่ยงที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในไตรมาสที่ 3/2566 จะออกมาต่ำกว่าที่คาด ทำให้บรรยากาศการลงทุนตอนนี้เรียกได้ว่าฝุ่นยังตลบ ปริมาณการซื้อขายยังเบาบาง ไม่มีข่าวดีเท่ากับข่าวร้ายอาจจะไม่เกินจริง
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนที่ยากลำบากสุดท้ายแล้วจะต้องผ่านพ้นไป เมื่อนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด หรือปัจจัยต่าง ๆ กำลังจะผ่านไป เช่น สงครามระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอลมีความยืดเยื้อ แต่ไม่ขยายวงกว้างออกไป ก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเหมือนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยิ่งนานวัน นักลงทุนก็ยิ่งชาชินกับข่าวที่ไม่ได้ส่งผลกระทบออกมาเป็นวงกว้าง
ในขณะที่ก็มีหลายตัวชี้นำทางเศรษฐกิจ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน ที่แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มเติบโตช้าลงและตัวเลขเงินเฟ้อก็เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งจะทำให้ Fed ปรับนโยบายเป็นการคงอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะยังไม่เกิดขึ้นใน 2-3 ไตรมาสข้างหน้าก็ตาม ส่วนเศรษฐกิจไทย ก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งในภาวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมากเช่นนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสและจังหวะการลงทุนที่ทำให้นักลงทุนได้ของดีในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น