ห้องเม่าปีกเหล็ก

เอกชนไทยโชว์ภาวะผู้นำ รวมพลังช่วยชาติ

โดย Lennoon
เผยแพร่ :
64 views

หลังวันหยุดยาวสงกรานต์ปีใหม่ไทย เริ่มต้นสัปดาห์มา ก็มีข่าวใหญ่ที่สร้างความฮือฮาและสั่นสะเทือนประเทศกันสองวันติด แต่เป็นความสั่นสะเทือนที่สร้างความหวังท่ามกลางวิกฤตการณ์โควิดระบาดระลอกใหม่ และดูจะเป็นการโชว์ภาวะผู้นำประเทศของภาคเอกชนในมิติใหม่ (New Normal) ที่น่าชื่นชมยินดีอีกด้วย

 

ข่าวใหญ่ที่ว่านั่นก็คือ การที่องค์กรเอกชนรายใหญ่ของไทย ลุกขึ้นมารวมตัวกันขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้เร็วขึ้น ในมิติที่ทรงพลัง

 

เริ่มต้นจากเจ้าสัวซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์ ที่นำทัพบริษัทต่าง ๆ ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ ประกาศทุ่มงบอีก 200 ล้านบาท ช่วยโรงพยาบาลสนามของรัฐ ในกระบวนการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอาหาร อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ตลอดจนระบบสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต โดยเริ่มจากความร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ก่อนต่อยอดไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ ของรัฐ เช่น ศิริราช รามาธิบดี พระมงกุฏเกล้า ฯลฯ

 

 

 

 

หลังจากปีที่แล้ว ซีพีได้ทุ่มงบประมาณ 100 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ในช่วงที่ประเทศขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตอย่างหนัก โดยซีพีอาศัยศักยภาพเครือข่ายในต่างประเทศ สามารถนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่เพียงพอต่อการผลิตเพื่อแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มผู้เปราะบางในสังคม ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังแจกจ่ายอยู่ รวมแล้วกว่า 14 ล้านชิ้น  

 

 

 

อีกหนึ่งข่าวที่ตามกันมาติด ๆ ก็คือหอการค้าไทยผนึกกำลังบริษัทใหญ่ ๆ 40 แห่ง ร่วมกันระดมสรรพกำลังและงบประมาณ เพื่อช่วยภาครัฐในการกระจายวัคซีนล็อตใหญ่ ที่จะเริ่มเข้ามาในเดือนมิถุนายนนี้ ให้เกิดประสิทธิภาพและทั่วถึงมากที่สุด โดยมีการวางแผนงานกันอย่างเป็นระบบ แบ่งการทำงานเป็นทีม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายว่า ภายในปีนี้ ต้องฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ ได้อย่างน้อย 70% โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าของกรุงเทพฯ ต้องได้รับการฉีดทั้งหมด 100% ภายในสิ้นเดือน มิ.ย. ส่วนการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั่วไปในกรุงเทพฯ ต้องให้ได้อย่างน้อย 50,000 โดสต่อวัน

 

40 บริษัทเอกชนดังกล่าว นำโดย ปูนซิเมนต์ไทย (SCG), ศรีไทยซุปเปอร์แวร์, กรุงเทพดุสิตเวชการ, เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น, เดอะมอลล์ กรุ๊ป, โตชิบา ไทยแลนด์, ทรู คอร์ปอเรชั่น, ไทยน้ำทิพย์, ไทยเบฟเวอเรจ, ไทยยูเนี่ยน, เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม (โลตัส), ไอบีเอ็ม (IBM), เฟซบุ๊ก (ประเทศไทย), กูเกิล (ประเทศไทย) และกลุ่มธนาคาร เช่น ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ฯลฯ ยังพร้อมจะใช้งบประมาณส่วนตัวในการนำเข้าวัคซีนทางเลือก เพื่อมาฉีดให้กับบุคลากรในองค์กรของตนเอง เพื่อลดงบประมาณและภาระของภาครัฐด้วย

 

 

 

การที่ภาคเอกชนต้องเข้ามาเสริมการทำงานของภาครัฐ ก็เพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัย ที่จะทำให้สามารถเปิดประเทศได้อย่างรวดเร็ว และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากประเทศไทยตกอยู่ในภาวะหนืดทางเศรษฐกิจมานานเกินไป หากปล่อยไปนานกว่านี้จะยิ่งแย่และฟื้นตัวยากขึ้น ซึ่งทุกบริษัทมีความเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนไปเพียง 0.4% ของประชากรเท่านั้น ซึ่งถือว่าล่าช้ามากสำหรับการที่จะเปิดประเทศ ที่จะต้องฉีดให้ได้ถึง 70% ของประชากร ภาครัฐจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับทุกคน โดยทุกบริษัทพร้อมที่จะช่วยภาครัฐ ซึ่งหอการค้าไทยพร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงเพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทย

 

ถ้าลองนึก ๆ ดู จะเห็นว่าโควิด-19 ไม่ใช่แค่เข้ามาสร้างวิกฤตเท่านั้น แต่ยังเข้ามาผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ หลายอย่างที่เป็น new normal ที่เราจะจะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ อีกแล้ว ทั้งเรื่องการขยายตัวของการซื้อของออนไลน์ เดลิเวอรี่ การทำงานที่บ้าน มาจนถึงตอนนี้ที่ภาคเอกชนต้องเปลี่ยนบทบาทออกมาอยู่ข้างหน้าภาครัฐ ไม่ใช่แค่การเป็นแรงขับเคลื่อนคอยตามภาครัฐเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ไม่ว่าจะออกมาในรุปแบบไหนก็ตาม หากทุกฝ่าย ทุกคน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประเทศไทยก็จะฝ่าวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้อย่างรวดเร็วตลอดรอดฝั่งแน่นอน

 

 

 


Lennoon