ห้องเม่าปีกเหล็ก

ปฏิบัติการคู่หู 'ทรัมป์-พาวเวลล์' เขย่าโลก!

โดย ัyoda
เผยแพร่ :
68 views

ปฏิบัติการคู่หู 'ทรัมป์-พาวเวลล์' เขย่าโลก! Nasdaq 100 All-Time High แล้วจ้า

วันนี้มีเรื่องใหญ่ 2 เรื่องที่ต้องคุยกันยาวๆ เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี กำลังร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่ค่ะ

 

Nasdaq 100 พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่

เมื่อคืนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกกันถ้วนหน้า ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 1.1% ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ที่อัดแน่นไปด้วยหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 1.5% พร้อมกับสร้างสถิติสูงสุดใหม่ (All-Time High) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นวันที่สดใสของเหล่านักลงทุนอย่างแท้จริง

อะไรคือเชื้อเพลิงชั้นดีที่ขับเคลื่อนตลาดให้พุ่งทะยานได้ขนาดนี้? คำตอบคือ “2 คู่กัดที่ทำผลงานเข้าตา” ทำให้เกิด 2 ปัจจัยมหภาค (ด้านบวก) พร้อมกันพอดิบพอดี จนคลายความกังวลในใจของนักลงทุนไปได้แทบจะทันทีนั่งค่ะ

 

เจาะลึกปัจจัยที่ 1: "เสียงกระซิบจากเฟด" ถอดรหัสทุกคำพูดของ เจอโรม พาวเวลล์

หัวใจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ชายที่ชื่อ เจอโรม พาวเวลล์ เขาคือประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ "เฟด" (Fed) ผู้ที่เปรียบเสมือนกัปตันที่คอยคุมหางเสือทิศทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก

ในการกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินของสภาผู้แทนราษฎร พาวเวลล์ได้ส่งสัญญาณที่ตลาดรอคอยมานาน แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็ตาม เขาได้กล่าวประโยคทองที่ว่า "หากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม เราก็จะไปถึงจุดที่จะลดอัตราดอกเบี้ยได้... ไม่ช้าก็เร็ว (sooner rather than later)"

เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นักลงทุนใจชื้น เนื่องจากการ "ลดอัตราดอกเบี้ย" คือยาวิเศษสำหรับตลาดหุ้น เพราะมันหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ จะถูกลง, มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น, กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและจ้างงาน ซึ่งล้วนส่งผลบวกต่อราคาหุ้น

อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์ก็ยังคงความสุขุมตามสไตล์ โดยกล่าวเสริมว่า "ผมไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องรีบร้อน" เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งอยู่ ซึ่งเป็นการบริหารความคาดหวังของตลาดและลดแรงกดดันจากฝ่ายต่างๆ รวมถึงประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยมาตลอด

แต่ดูเหมือนตลาดจะคิดไปไกลกว่านั้น แอนดรูว์ เบรนเนอร์ นักวิเคราะห์จาก NatAlliance Securities ให้ความเห็นว่า "พาวเวลล์ไม่สามารถทำให้ตลาดเชื่อในท่าทีที่แข็งกร้าวของเขาได้ ตลาดกำลังบอกพาวเวลล์ว่า เขาจะต้องลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่แสดงออกมาในวันนี้มาก" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ตอนนี้ตลาดการเงินได้คาดการณ์ไปแล้วว่าจะมีการลดดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งภายในสิ้นปี 2025 และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในเดือนกันยายนนี้

แม้พาวเวลล์จะดูระมัดระวัง แต่เจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆ ก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไป เช่น ผู้ว่าการเฟดอย่าง คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และ มิเชล โบว์แมน ที่เคยส่งสัญญาณว่าอาจเปิดรับการลดดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกหลายคนสนับสนุนแนวทาง "รอดูไปก่อน" เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีที่มีต่อเงินเฟ้อ ซึ่งยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่เฟดจับตามองอย่างใกล้ชิด

 

เจาะลึกปัจจัยที่ 2: "สันติภาพฉับพลัน" เมื่อสงครามคลี่คลาย และราคาน้ำมันดิ่งพสุธา

อีกหนึ่งข่าวใหญ่ที่เข้ามาเปลี่ยนเกมคือสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลงอย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง หลังจากความขัดแย้งที่ดำเนินมา 12 วันและเกือบจะบานปลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค ได้ยุติลงด้วยข้อตกลงหยุดยิงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ เป็นตัวกลางเจรจา

เบื้องหลังความสำเร็จนี้เต็มไปด้วยความเข้มข้นทางการทูต มีรายงานว่าทรัมป์ได้พูดคุยโดยตรงกับนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอล ขณะที่ทีมงานระดับสูงของเขา ก็ได้เจรจาทั้งทางตรงและทางอ้อมกับฝ่ายอิหร่าน ในช่วงแรก ข้อตกลงยังคงเปราะบางและมีการละเมิดเกิดขึ้น จนทรัมป์แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงผ่านโซเชียลมีเดียว่า "หยุดทิ้งระเบิดเหล่านั้นเดี๋ยวนี้ (DO NOT DROP THOSE BOMBS)" ซึ่งเป็นการส่งสาส์นเตือนไปยังอิสราเอลโดยเฉพาะ ก่อนที่สถานการณ์จะเย็นลงและทั้งสองฝ่ายกลับมาปฏิบัติตามข้อตกลง

แต่หัวใจของความขัดแย้งครั้งนี้คือ โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน สหรัฐฯ และอิสราเอลได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อสถานประกอบการนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่าน โดยทรัมป์ประกาศว่าเป้าหมายถูก "ทำลายล้างจนสิ้นซาก" อย่างไรก็ตาม รายงานจากสื่อใหญ่หลายสำนักอ้างข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองกลาโหมสหรัฐฯ ว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอาจล่าช้าไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่ได้เสียหายทั้งหมดอย่างที่กล่าวอ้าง

ในประเด็นนี้ นายราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้ให้ข้อมูลว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน "ถอยหลังไปอย่างมีนัยสำคัญ" แต่สิ่งเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ คือการที่ผู้ตรวจสอบของ IAEA ต้องกลับเข้าไปยังพื้นที่โดยเร็วที่สุด เพื่อประเมินความเสียหายและตรวจสอบว่าสต็อกยูเรเนียมเสริมสมรรถนะระดับสูงของอิหร่าน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ ถูกเคลื่อนย้ายไปที่ใด

ความขัดแย้งที่ผ่านมาได้นำมาซึ่งความสูญเสีย โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตในอิหร่าน 606 คน และในอิสราเอล 28 คนจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธ การหยุดยิงครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เมื่อความเสี่ยงจากสงครามลดฮวบลง ตลาดการเงินก็ตอบสนองทันที ฮาริส เคอร์ชิด จาก Karobaar Capital กล่าวว่า "ในที่สุดตลาดก็ได้หายใจหายคออีกครั้ง" ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือราคาน้ำมันที่ดิ่งพสุธา ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเกือบ 15% ในสองวัน มาอยู่ที่ ~64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบ เบรนต์ (Brent) ก็ลดลงราว 12% ลงไปต่ำกว่า 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แถมการที่ทรัมป์ส่งสัญญาณไฟเขียวให้จีนสามารถซื้อน้ำมันจากอิหร่านต่อไปได้ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงอีกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สันติภาพนี้ยังคงเปราะบาง ผู้นำอิสราเอลแม้จะประกาศว่าภัยคุกคามเฉพาะหน้าได้ถูกกำจัดไปแล้ว แต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ย้ำเตือนว่า "การต่อสู้กับอิหร่านยังไม่จบสิ้น" ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าความไม่แน่นอนในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองต่อไป

 

มองอีกมุม: สัญญาณเตือนและเมฆหมอกที่ยังไม่จางหาย

แม้บรรยากาศการลงทุนจะเต็มไปด้วยข่าวดี แต่ถ้าเรามองลึกลงไปในรายละเอียด จะพบสัญญาณเตือนและเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนหลายอย่างที่นักลงทุนที่รอบคอบไม่สามารถเพิกเฉยได้ค่ะ

 

เสียงสะท้อนจากคนธรรมดา: ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่น่ากังวล

ขณะที่วอลสตรีทกำลังจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่คนเดินดินบนถนนสายหลัก (Main Street) กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก Conference Board ประจำเดือนมิถุนายน ดิ่งลง 5.4 จุด เหลือเพียง 93 ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ทั้งหมด โดยองค์ประกอบภายในยิ่งน่ากังวล

มุมมองต่อภาวะปัจจุบัน: ลดลง 6.4 จุด

ความคาดหวังใน 6 เดือนข้างหน้า: ลดลง 4.6 จุด

 

มุมมองต่อตลาดแรงงาน: ช่องว่างระหว่างคนที่มองว่า "มีงานให้ทำมากมาย" กับคนที่มองว่า "หางานยาก" ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021

ที่น่าสนใจคือ ผลสำรวจชี้ว่าสิ่งที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุดคือ "ผลกระทบจากนโยบายภาษี" มากกว่าสถานการณ์โลกเสียอีก โดยทางด้าน เฮเธอร์ ลอง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Navy Federal Credit Union กล่าวไว้อย่างเห็นภาพว่า "พวกเขาเลือกที่จะนั่งอยู่ข้างสนาม และจะซื้อบ้าน รถยนต์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น นี่คือ 'เศรษฐกิจแห่งความระมัดระวังอย่างล้นเหลือ' (abundance of caution economy)"

 

การประเมินมูลค่าและเสียงเตือนจากกูรู

นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มส่งเสียงเตือนว่าตลาดหุ้นนั้น "แพง" เกินไปแล้ว แมตต์ มาลีย์ จาก Miller Tabak ชี้ว่า "ตลาดหุ้นยังคงแพงมาก ในขณะที่ระดับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการคาดการณ์กำไรของบริษัทกำลังลดลง"

ขณะที่บิลล์ กรอสส์ กูรูนักลงทุนชื่อดัง ก็ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า เขาเห็น "ตลาดกระทิงน้อยๆ สำหรับหุ้น และตลาดหมีน้อยๆ สำหรับพันธบัตร" โดยให้เหตุผลว่า หุ้นจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ด้วย "พลังมหาศาลแห่งยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI)" แต่พันธบัตรจะประสบปัญหา เนื่องจาก "การขาดดุลงบประมาณที่บานปลายและเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า" จะทำให้เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองด้านบวกอยู่บ้าง เอ็มมานูเอล โค นักยุทธศาสตร์ของ Barclays กล่าวว่า "เป็นเรื่องอันตรายสำหรับนักลงทุนที่จะตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์มากเกินไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะกลายเป็นจุดเข้าซื้อมากกว่าการเทขายที่ยาวนาน"

 

ระเบิดเวลาสงครามการค้า: สหรัฐฯ vs สหภาพยุโรป

อีกหนึ่งความเสี่ยงใหญ่ที่กำลังนับถอยหลังคือความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) โดยมีเส้นตายคือวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU ไปยังสหรัฐฯ อาจพุ่งสูงถึง 50% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้ามูลค่ามหาศาลกว่า 380,000 ล้านยูโร

EU เองก็เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้ โดยได้ร่างรายการสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 95,000 ล้านยูโร ที่จะถูกเรียกเก็บภาษี ซึ่งพุ่งเป้าไปที่รัฐที่มีความสำคัญทางการเมืองของสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลืองจากรัฐลุยเซียนา นี่ไม่ใช่แค่การขู่ แต่เป็นแผนปฏิบัติการที่พร้อมจะถูกนำมาใช้ทันทีหากการเจรจาล้มเหลว

 

สัญญาณอ่อนแอจากภาคบริษัท

เมื่อมองในระดับจุลภาค เราจะเห็นข่าวจากบริษัทใหญ่ๆ ที่สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจเช่นกัน

* FedEx: บริษัทขนส่งที่เป็นเหมือนตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลก ได้คาดการณ์ผลกำไรที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

* Microsoft: ประกาศปลดพนักงานระลอกใหญ่ในแผนก Xbox

* Boeing: ถูกหน่วยงานสืบสวนด้านความปลอดภัยชี้ถึงความบกพร่องในกระบวนการผลิต

* McDonald's: ประกาศยุติความร่วมมือกับ Krispy Kreme

ข่าวเหล่านี้เป็นเหมือนเสียงกระซิบจากภาคธุรกิจจริงที่บอกเราว่า แม้ตลาดหุ้นจะวิ่งขึ้น แต่รากฐานเศรษฐกิจนั้นอาจไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เห็นเสมอไป

 

บทสรุปและก้าวต่อไปของนักลงทุน

สถานการณ์ในตอนนี้เปรียบได้กับเหรียญสองด้านค่ะ ด้านหนึ่งคือความคึกคักในตลาดการเงินที่ขับเคลื่อนด้วยความหวังเรื่องดอกเบี้ยและสันติภาพ แต่อีกด้านหนึ่งคือความเปราะบางของเศรษฐกิจจริง ความกังวลของผู้บริโภค และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่

ดังนั้น สิ่งที่เราในฐานะนักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปคือ

ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงาน (Payroll Report) ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจที่แท้จริง

ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคม แอดเขียนความคืบหน้าล่าสุดของแต่ละประเทศให้แล้วเมื่อวานค่ะ

ความเปราะบางของข้อตกลงหยุดยิง ในตะวันออกกลาง ว่าจะยั่งยืนเพียงใด และทรัมป์จะได้รางวัลโนเบลสันติภาพหรือไม่ (หยอกๆ แต่ได้เสนอชื่อเข้าไปจริงๆแล้วนะ)

อย่างที่บอกทุกครั้ง ตัดสินใจการลงทุนด้วยเหตุผลและข้อมูล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ค่ะ

 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก..  Beauty Investor


ัyoda