ยางพาราพืชเศรษฐกิจของเมืองไทย เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการกินอยู่ของประชาชนคนไทยขึ้นอยู่กับสินค้าเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(บางจังหวัด)และภาคใต้ที่ต้องอาศัยรายได้จากยางพาราเป็นหลัก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อความต้องการขาย(Supply) มีมากกว่าความต้องการซื้อ (Demand) ทำให้ราคายางตกต่ำไปทั่วโลก เกษตรกรไม่สามารถลืมต้าอ้าปากได้และจำเป็นจะต้องโค่นต้นยางเพื่อที่จะปลูกพืชชนิดอื่น หรือไม่ บางครอบครัวก็จำเป็นต้องขายสวนยางพาราออกไปเพราะหาคนสืบทอดไม่ได้ เมื่อซัพพลายบางส่วนหายไปจากตลาด ความต้องการซื้อมากขึ้น ทำให้เกิดการดันราคาในช่วงหลัง
ช่วงราคายางตกต่ำ จุดเปลี่ยนของตลาดยางอยู่ในช่วงกลางปี 2559 ที่ไทยจับมืออินโดนีเซียและมาเลเซีย เปิดตลาดกลางยางพาราส่งมอบจริง 100% พัฒนาระบบซื้อ-ขาย สะท้อนต้นทุนอย่างแท้จริง (ข่าวจาก คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/news/agricultural/243956) จากข่าวนี้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคายางไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นจริง มีการซื้อ-ขายผ่านล่วงหน้าทำให้มีพ่อค้าคนกลางหรือกองทุนเข้ามาซื้อ-ขายโดยไม่ได้ดูถึงมูลค่าที่แท้จริงหรือสะท้อนต้นทุนของเกษตรกร แต่หลังจากข่าวนี้ปรากฏมีผลกับราคายางระดับหนึ่ง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานและทำจุดต่ำสุดใหม่ก่อนที่จะพุ่งขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อพ่อค้าคนกลางเริ่มกักตุนยาง ประเทศจีนก็หันมากักตุนยางพาราด้วยเช่นกัน
ปริมาณการใช้และผลิตยางพาราในแต่ละประเทศในปี 2013 (ที่มา Global and China Natural Rubber Industry Report)
จากภาพจะเห็นได้ว่าประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ (รองลงมาเป็นอินโดนีเซียและมาเลเซียตามลำดับ) แต่กลับบริโภคยางน้อย ในขณะที่ประเทศจีนเป็นผู้บริโภคยางรายใหญ่แต่กลับปลูกได้น้อยมากๆจึงจำเป็นที่จะต้องนำเข้ายางพาราจากทั้ง 3 ประเทศที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ดังนั้นถ้าเราจะติดตามสถานการณ์ยางพารา เราจำเป็นต้องติดตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจีน
ตอนนี้ประเทศจีนมีการนำเข้าไม้ยางพาราเป็นจำนวนมากเพราะต้องการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์โดยเฉพาะเป็นการสั่งซื้อจากประเทศไทยเพราะไม้ยางจากไทยเป็นไม้ยางที่มีคุณภาพ เหนียว แข็งและคงทน ไว้โอกาสหน้าจะมาวิเคราะห์กันให้ฟังครับว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตขนาดไหน ....
ติดตามสถานการณ์ปัจจุบันได้ที่นี้ "ยางพารา" ขาขึ้น http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1483587383
เมื่อเรากลับมามองย้อนหลัง จะเห็นได้ว่าสถาบันวิจัย TMB ก็ไม่ได้มองยางพาราไปในทางที่ดีนัก และคาดว่างซัพพลายอาจจะล้นตลาดไปถึงระยะหนึ่ง (บทวิเคราะห์วันที่ 1 เมษายน 2559)
----------------------------------------------------
4 ปัจจัยที่ยังทำให้ราคายางไม่ไปไหน (ที่มา TMB Analytics)
ปัจจัยแรก คือ ปริมาณความต้องการใช้ โดยยางพาราส่วนใหญ่ถูกนำใช้ในอุตสาหกรรมยางล้อ ซึ่งจะเติบโตตามอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งนี้ บริษัท IHS Automotive ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่ายอดขายรถยนต์โลกในปี 2559-60 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3.0-4.0% ต่อปี คาดว่าจะส่งผลทำให้ปริมาณความต้องการใช้ยางพาราโลกขยายตัวประมาณ 3.0-3.5% ต่อปี โดยความต้องการยางพาราของตลาดหลักบางส่วน ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและอินเดีย เริ่มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้ในจีนและญี่ปุ่นยังดูไม่ดีนัก เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว (ผู้บริโภครายใหญ่ได้แก่ จีน (39.1%) อินเดีย (8.3%) สหรัฐอเมริกา (7.7%) และญี่ปุ่น (5.8%) ของปริมาณการใช้รวม 12.6 ล้านตัน)
ปัจจัยที่สองคือ ปริมาณการผลิต สถาบัน International Rubber Study Group (IRSG) ผู้เชี่ยวชาญด้านยางพาราของโลก คาดว่าปริมาณผลิตยางพาราจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.0-4.2% ต่อปีในช่วงปี 2559-60 ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจะมาจากขยายพื้นที่เพาะปลูกยางพาราของอินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และอินเดียเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอุปทานส่วนเกินยางพาราได้ในช่วงถัดไป (ผู้ผลิตรายใหญ่ได้แก่ ไทย (35.8%) อินโดนีเซีย (26.1%) จีน (7.1%) อินเดีย (5.8%) และมาเลเซีย (5.5%) ของปริมาณการผลิตรวม 12.6 ล้านตัน)
ปัจจัยที่สาม คือ ปริมาณสต็อกยางพารา จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอันมีสาเหตุหลักมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกของผู้ผลิตนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา โดยเฉพาะผู้ผลิตอินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน ก่อให้เกิดการทยอยสะสมสต็อก ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ IRSG เก็บข้อมูลสต็อกยางพาราของโลกมา (ผู้ผลิตที่มีสต็อกรายใหญ่ได้แก่ ไทย (16.6%) และมาเลเซีย (4.5%) ของปริมาณสต็อกรวม 3.4 ล้านตัน)
ปัจจัยสุดท้าย คือ ราคายางสังเคราะห์ จะทรงตัวในระดับต่ำตามราคาน้ำมันดิบโลก ทั้งนี้ ยางสังเคราะห์ถือเป็นสินค้าทดแทนยางพารา โดยผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางสามารถปรับสัดส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์ยางในสัดส่วนที่ต้องการได้ กล่าวคือ เมื่อราคายางสังเคราะห์ลดลง ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางก็ปรับสัดส่วนการใช้ยางสังเคราะห์ในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางมากขึ้น เพราะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ดังนั้น ผู้ผลิตยางพาราจึงต้องลดราคาขายของตนเองลงมา เพื่อให้สามารถขายแข่งกับยางสังเคราะห์ได้
สินค้าเกษตร"ดาวรุ่ง"ในปี 2560 (ที่มา TMB Analytics)
เมื่อประเมิน 4 ปัจจัยหลักที่กระทบราคายางพาราใน 1-2 ปีข้างหน้า พอจะสรุปได้ว่า ทิศทางราคายางพารายังคงมีปัจจัยกดดันให้ทรงตัวใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน โดยคาดว่าราคายางพาราแผ่นดิบในประเทศเฉลี่ยจะอยู่ที่ 45-50 บาท/ก.ก.
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจฯ ประเมินว่า ทิศทางราคายางพาราที่อยู่ในระดับนี้ ผลกระทบทางลบส่วนใหญ่จะตกแก่ “ชาวสวนยางพารา” เนื่องจากมีต้นทุนการเพาะปลูกยางพาราเฉลี่ย 65 บาท/ก.ก. (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2556) ซึ่งจะเห็นว่าชาวสวนยางมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าราคาที่คาดว่าจะขายได้ ทำให้มีแนวโน้มต้องเผชิญกับการขาดทุน ในขณะที่ “ผู้ค้า/ผู้ส่งออก” มองว่าผลกระทบกลุ่มนี้จะขึ้นอยู่กับการบริหารสต็อกยางพาราที่รับซื้อมา หากมีการจัดการสต็อกที่รับซื้อมาอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยบรรเทาผลกระทบลงได้ ด้านผู้ผลิตสินค้าที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิต ได้แก่ ล้อรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ถุงมือยาง ถุงยางอนามัย ฯลฯ ถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงเนื่องจากการผลิตใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีสูง มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า จึงทำให้ราคาขายของสินค้าไม่ลดลงตามราคาวัตถุดิบยางพารา
ทั้งนี้ การที่ภาครัฐผลักดันนิคมอุตสาหกรรมกรรมยางพารา (Rubber City) ในเขตพื้นที่อุตสาหกรรมภาคใต้ จ.สงขลา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ายางพารา ซึ่งคาดว่าจะเป็นรูปธรรมในปี 2564 ผู้ประกอบการควรพิจารณาเข้ามาใช้ประโยชน์ลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพารา ซึ่งจะช่วยให้ราคายางพารามีทิศทางดีขึ้น และจะทำให้ Rubber City เป็นตามฝัน คือ “ชาวสวนยางพาราอยู่ได้ ประเทศชาติมีรายได้จากสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มจากยางพารา”
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี้ https://www.tmbbank.com/en/analytics/industry-analysis/view/rubberpricetrend.html
ที่มา : TMB Analytics (April 1, 2016)
----------------------------------------------------
บทวิเคราะห์ยางพาราจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจไทยพาณิชย์ SCBEIC
( ที่มา : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจไทยพาณิชย์ (SCBEIC)
ในช่วงที่ผ่านมา China United Rubber Corporation (CURC) องค์กรรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีน คาดการณ์ว่า ในช่วงปี 2016-2020 ปริมาณการบริโภคยางในจีนยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 6% เป็นผลจากการขยายตัวของจำนวนรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ที่ได้รับปัจจัยหนุนของคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง โดยเป็นข้อมูลจาก Ma Junhua CEO ซึ่งกล่าวขึ้นในงาน Global Rubber Research Fair 2016 (GRRF2016) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2016 โดยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับยอดขายยางรถยนต์ในช่วง 2 เดือนแรกของจีนมีการปรับตัวสูงขึ้นราว 8% ( ที่มา : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจไทยพาณิชย์ (SCBEIC) )
ต่อมาด้วยนโยบายของทรัมป์ที่พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจของอเมริกา อาจจะทำให้ปริมาณการผลิตล้อยางเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อยางแผ่นดิบเพิ่มสูงขึ้นจนแตะระดับการเติบโตถึงเลข 2 หลัก อนาคตยางพาราอาจจะกลายเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ก็เป็นได้ครับ
ที่มา : International Rubber Association
ปริมาณส่วนเกิน ถึงแม้จะมีอยู่ในระบบแต่ก็น้อยลงมากเมื่อเทียบกับอดีต ดังนั้นน่าจะคาดการณ์ได้ว่าราคายางได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และอาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆก็เป็นได้ครับ ...
จากข้อมุลที่ผ่านมา ด้วยตัวเลขอาจจะสรุปได้ว่าเราอาจจะยังมีซัพพลายล้นตลาดอยู่ แต่เป็นซัพพลายปริมาณที่น้อยมากๆและอาจจะไม่"เพียงพอ"ต่อการเติบโตถึงเลข 2 หลัก ผมมองว่าช่วง 3-4 ปี ข้างหน้าเราอาจจะขาดแคลนยางพาราก็ได้
แล้วเราจะสามารถหาโอกาสได้อย่างไรบ้าง ? นี้เป็นคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ ...
[กรอบสีแดง] ความต้องการซื้อมากกว่าความต้องการขายทำให้ขาดแคลนและมีผลเป็นตัวเลขติดลบ
[กรอบสีเขียว] ปริมาณสต๊อคยางพาราลดต่ำสุดในรอบหลายไตรมาสที่ผ่านมาที่มา : http://www.rubberstudy.com