ห้องเม่าปีกเหล็ก

กูรู คาด SET ธ.ค.มีลุ้นพุ่งแตะ 1,670-1,720 จุด แนะเก็บหุ้นพึ่งพิงศก.ในประเทศ

โดย จอมโจรลูแปง
เผยแพร่ :
165 views

กูรู คาด SET ธ.ค.มีลุ้นพุ่งแตะ 1,670-1,720 จุด แนะเก็บหุ้นพึ่งพิงศก.ในประเทศ

กูรู เปิดกลยุทธ์หุ้นเดือนธ.ค. มองเป้า SET ที่ 1,670 - 1,720 จุด ได้รับปัจจัยหนุนจากศก.ในประเทศที่ยังดีกว่าประเทศอื่น - เงินเฟ้อ - ดบ.ขาขึ้น เริ่มชะลอ แต่เตือนระวังสัญญาณ Recession ยังมีอยู่ แนะเก็บหุ้นรับอานิสงส์ในประเทศ - บาทแข็งค่า

.

เข้าสู่การลงทุนในตลาดหุ้นเดือนสุดท้ายของปี 65 นักวิเคราะห์ต่างออกมาประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทย ในเดือนธ.ค.นี้ถ้วนหน้า โดยส่วนใหญ่ ยังมองเศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่งเป็นปัจจัยหนุน แต่ปัจจัยภายนอกยังเป็นปัจจัยกดดัน แม้ว่า สัญญาณเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยขาขึ้นจะดูชะลอลงก็ตาม แต่สัญญาณการเกิดเศรษฐกิจถดถอย ( Recession ) ยังมีอยู่

.

โดยกรอบดัชนีในเดือนนี้ นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 1,580-1,720 จุด ขณะที่หุ้นเด่นยังคงเป็นกลุ่มที่รับอานิสงส์จากในประเทศ ทั้งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว - การบริโภค หรือแม้แต่กลุ่มที่รับปัจจัยบวกจากเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า

.

* ASPS เตือน แม้เงินเฟ้อชะลอ แต่สัญญาณ Recession ชัดเจนมากขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนในเดือนธ.ค.65 ว่า แรงกดดันตลาดการเงินโลกดูผ่อนคลายลงมาระดับหนึ่ง เริ่มจาก

.

1) เงินเฟ้อหลายประเทศเริ่มแผ่วลง เงินเฟ้อสหรัฐฯชะลอลงติดต่อกัน 4 เดือน และไทยชะลอลงมา 2 เดือนติด และฝ่ายวิจัยคาดมีแนวโน้มลดลงจนอยู่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ตลาดคาดในกลางปีหน้า เช่นเดียวกับเงินเฟ้อไทยที่ ธปท. คาดจะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในปีหน้า

.

2) ดอกเบี้ยเริ่มเข้าใกล้จุดที่เหมาะสม แม้ตลาดคาด Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% มาอยู่ที่ 4% ในเดือน พ.ย. แต่ในปีหน้ากรอบบนการขึ้นดอกเบี้ยถูกจำกัดอยู่ที่ระดับ 5.25% เห็นได้ว่าระดับการขยับขึ้นค่อนข้างจำกัด ช่วยลดความผันผวนทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน

.

อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่จะเกิด Recession ชัดเจนมากขึ้น ทั้งจากการเกิด Inverted Yield Curve ของ Bond 10 ปี และ 2 ปี ของ สหรัฐที่ยาวนาน รวมถึงข้อมูลจาก Bloomberg ชี้ว่าปี 2566 ยุโรปมีโอกาสเกิด Recession เพิ่มขึ้นเป็น 80% สหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 63% แต่ไทยยังห่างไกล และลดลงเหลือเพียง 13%

.

* ชูศก.ไทยยังเด่นกว่าหลายปท.

ASPS เปิดเผยอีกว่า ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นเด่นกว่าหลายประเทศ ดังนี้

.

1) สำนักเศรษฐกิจต่างประเทศ IMF, World Bank คาด GDPปีหน้าเติบโต 3.7% และ 4.3% ตามลำดับ

.

2) คาดดุลบัญชีเดินสะพัดมีสัญญาณการ ขาดดุลลดลงทั้งจากดุลการค้าดีขึ้นจากการนำเข้าต้นทุนพลังงานที่ราคาเริ่มลดลง และดุลบริการปรับตัวดีขึ้น หลังจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพื้นที่

.

3) เงินทุนสำรองระหว่าง ประเทศกำลังฟื้นตัว

.

4) ช่วงที่เหลือของปี คาดหวังแพ็คเกจใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ อาทิ ช้อปช่วยชาติ เป็นต้น

.

5) FDI ของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต และล่าสุดมูลค่าเงินลงทุนต่างชาติ 9 เดือนปี 65 เพิ่มขึ้น 35%YoY มาอยู่ที่ 223,746 ล้านบาท ส่วน Fund Flow ต่างชาติยังคาดหวังการไหลเข้าต่อเนื่อง

.

จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังโตต่อเนื่องในปี 66 ในมุมมองของ IMF มีเพียง 2 ประเทศในเอเซีย คือ ไทยกับจีนเท่านั้น ขณะที่เม็ดเงินจาก LTF หนุนตลาดในเดือน ธ.ค. คาดหวังได้ยาก เพราะหลังจาก เปลี่ยนเป็นกองทุน SSF เม็ดเงินที่เคยไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 2-3 หมื่นล้านบาทในเดือนสุดท้ายของปีเหลือเพียง 1–2 พันล้านบาท

.

ในมุม Valuation ตลาดหุ้นไทย ยังดูน่าสนใจ เนื่องจากมี Market Earning Yield Gap. ที่ระดับ 4.3% แม้ภาพรวม SET Index จะมี Upside ไม่มาก จากกรอบดัชนีเป้าหมายปี 65 ที่วางไว้ 1,685– 1,720 จุด กลยุทธ์การลงทุน เน้นกลุ่ม Domestic Consumption แนวโน้ม เติบโตยังสดใสกว่าภาพรวมตลาด อย่าง COM7, MTC, TISCO, BEC, SCGP, GULF

.

* TRINITY มอง 2 ปัจจัยบวกหนุนทั้งเฟดจ่อชะลอขึ้นดบ.-จีนคลายล็อคดาวน์

.

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (TRINITY) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนธันวาคม 65 ว่า คาดตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มต้นเดือนนี้ในเกณฑ์ดี จากปัจจัยหนุน 2 ปัจจัย ได้แก่ ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่เตรียมชะลอลงอย่างแน่นอนในการประชุมกลางเดือนนี้ และการส่งสัญญาณของรัฐบาลจีนต่อการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในประเทศมากขึ้น

.

โดยมอง 2 ปัจจัยนี้มีโอกาสทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและจีนปรับตัว Outperform ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกได้ ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็ได้แรงหนุนจากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเมื่อวานนี้ที่ออกมาต่ำกว่าคาดด้วยเช่นกัน ทำให้การประชุม ECB ครั้งถัดไปในช่วงกลางเดือนธ.ค.มีโอกาสที่ ECB จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.5% ด้วยเช่นเดียวกันกับ Fed

.

ทั้งนี้ Bond yield สหรัฐฯปรับตัวลงแรงเมื่อคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน จากคำพูดเชิง Dovish ของนาย Jerome Powell มองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้น Technology เป็นสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปรับตัวขึ้นแรงในช่วงสั้น ไม่ว่าอย่างไรแล้ว มองความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจะเป็นปัจจัยกดดันต่อหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงถัดไปได้ จึงไม่แนะนำให้เข้าลงทุนแต่อย่างใด ทั้งนี้ การทำจุดต่ำสุดของ Bond yield ที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคงมั่นใจต่อคำแนะนำให้ถือครองกลุ่มตราสารหนี้ รวมถึงตราสารจำพวกคล้ายบอนด์อย่าง REIT, Infrastructure fund, และหุ้นในกลุ่ม Utility ที่มี Relative yield สูงขึ้น

.

* เปิดหุ้น 4 กลุ่มน่าเก็บประจำเดือนนี้

สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น มองปัจจัยกระตุ้นที่อาจเข้ามาสร้างสีสันได้บ้างในเดือนนี้ได้แก่ การออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปีนี้-ต้นปีหน้า ซึ่งอาจทำให้กลุ่ม Domestic ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจต่อไปหากต้องเลือกลงทุน ส่วนการเข้ามาของ Fund flow ในช่วง 1-2 วันนี้นั้น มองเป็น Hot money ที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาทจากประเด็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งต่อจากนี้อาจเริ่มเบาบางลงหากไม่มีปัจจัยกระตุ้นใหม่

.

ในเชิงกลยุทธ์ หลังจากที่กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายรอบล่าสุดมาอยู่ที่ 1.25% ทำให้ระดับ SET ที่เหมาะสมในกรณีฐานของทางทรีนีตี้ปรับลดจากระดับ 1630 จุดมาอยู่ที่ 1580 จุด ซึ่งเมื่อเทียบกับระดับดัชนีปัจจุบันที่ 1635 จุด อาจทำให้ Risk-reward ในภาพรวมดูไม่น่าสนใจมากนัก จึงเป็นที่มาที่เราแนะนำให้ Lock profit หุ้นในส่วนที่เหลือ แต่หากต้องเลือก Selective ในเดือนธันวาคม มองไปยังกลุ่มหุ้นดังต่อไปนี้

.

1) กลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งในระยะสั้นได้ประโยชน์จากทั้ง เงินบาทแข็ง, Bond yield ลง, ต้นทุนพลังงานลง (BGRIM, GPSC, GULF, RATCH, EGCO) ทั้งนี้ ประเมิน RATCH มีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป

.

2) กลุ่ม Big ticket retailers เพื่อเก็งมาตรการช้อปดีมีคืนที่จะออกมาในช่วงต้นปีหน้า (HMPRO, ILM, COM7) ทั้งนี้ ประเมิน COM7 มีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป

.

3) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เพื่อเก็งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี + จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าสู่ช่วง High season (AAV, BA, CENTEL, ERW, PTG, OR) มองกลุ่มสายการบินได้ Sentiment เชิงบวกระยะสั้นจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่วน CENTEL ประเมินว่ามีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป

.

4) กลุ่มบริหารหนี้ (BAM, JMT, CHAYO, KCC) ซึ่งเข้าสู่ช่วง High season ในไตรมาส 4 + การซื้อหนี้ผ่านจุดต่ำสุด มอง BAM ผ่านช่วง Overhang จากประเด็น MSCI เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

.

* FSS ให้น้ำหนักฝั่งขึ้น ลุ้น 1,670 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนเดือน ธ.ค.65 สถิติสะท้อนว่าเดือน ธ.ค. SET Index ไม่ปรับลงแรงก็มักจะขึ้นแรง สำหรับปีนี้ เราให้น้ำหนักฝั่งปรับขึ้นโดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,610-1,670 จุด หนุนจากภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวและกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สะท้อนความเชื่อมั่นว่าพร้อมกับการรับมือดอกเบี้ยขาขึ้น

.

ประกอบกับแนวโน้มเฟด ที่จะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราชะลอลง ทาให้ Dollar Index และ Bond Yield อ่อนตัว หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติคาดว่ายังคงอยู่ในทิศทางไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์เรายังแนะนำให้ถือลงทุนต่อเนื่องหลังสะสมเพิ่มไปแล้วช่วงพักฐาน ยังคงชื่นชอบกลุ่ม Domestic Play มากกว่า Global Play เราเลือก Top Pick เดือนนี้ คือ BBL - BDMS - CRC- M - MAJOR

***********************************

 

 


จอมโจรลูแปง