ย้อนเวลากลับไปในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นที่รู้กันในหมู่นักลงทุนว่า เป็นหุ้นที่ไร้เสน่ห์ดึงดูด ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ๆ ที่จะดันราคาหุ้นให้พุ่งสูงขึ้นไปได้ ประกอบกับการเข้ามาของวิกฤติโควิด-19 ที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผู้คนจะมีการใช้ Data มากขึ้น แต่นั่นไม่ได้ไม่ได้เป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ผลประกอบการกลุ่มสื่อสารกระเตื้องขึ้นมาได้ ส่งผลให้ราคาย่ำฐานมายาวนับแรมปี
สาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มสื่อสารกลายเป็นกลุ่มนอกสายตานักลงทุน เพราะได้รับความกดดันจากผลประกอบการของกลุ่มสื่อสารจะชะลอตัว เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่ไม่เพิ่มมากนัก อัพไซด์เริ่มจำกัด และด้วยลักษณะของตัวธุรกิจเอง มีความเสี่ยงที่จะถูกดิสรัปจากเทคโนโลยีใหม่ๆที่เข้ามาท้าทาย อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนในด้านเครือข่ายอีกจำนวนมาก
แต่เมื่อมีกระแสข่าวความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) เรื่องนี้จึงสร้างความคึกคักให้ในแวดวงโทรคมนาคมและตลาดหุ้นไทยที่เฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารปรับตัวขึ้นกันยกแผง
ดีลการควบรวมนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า จะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทุกเจ้า เพราะความกดดันจากการแข่งขันจะเบาลง ด้วย 3 เหตุผลคือ
1.ทั้ง 2 ราย (บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) และบริษัทใหม่ที่ TRUE+DTAC ควบรวมกัน) ซึ่งจะมีคลื่นพอๆ กัน
2.มีฐานรายได้พอๆ กัน
3.มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนไทยด้วยกันน่าจะทำให้การพูดคุยกันง่ายกว่า
ซึ่งหากการควบรวมในครั้งนี้ เกิดขึ้นได้โดยไม่ติดขัดเรื่องกฎระเบียบและกฎหมาย และราคาการแลกหุ้นไม่ได้แพงจนเกินไป ก็จะเป็นผลดีกับทั้งอุตสาหกรรมฯ ในแง่ของรายได้ และในแง่ของบริษัทที่ควบรวมกันจะมีผลดีอื่นประกอบด้วย เช่น เพิ่มความสามารถของธุรกิจ เพราะด้วยการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีทุกวันนี้ หากอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่ทรานฟอร์มตัวเองไปสู่ธุรกิจใหม่ ก็อาจจะมาถึงทางตันของอุตสาหกรรมได้
ส่วนประเด็นที่มีหลายฝ่ายกังวลถึงการควบรวมว่าจะก่อให้เกิดการ “ผูกขาด” เรื่องนี้ฝากฝั่งของตัวแทนจากรัฐบาล “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้ออกมาคอนเฟิร์มเรื่องการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ว่าไม่เป็นการผูกขาด เนื่องจากยังมีผู้เล่นอื่นๆในตลาดอยู่
“จะผูกขาดอย่างไร มือถือมีการแข่งขันอยู่แล้วมีการกำกับโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ ธุรกิจประเภทนี้มีหลายเจ้าไม่ได้อยู่แล้วเพราะลงทุนสูง มีการใช้คลื่นความถี่ มีการให้สัมปทาน บางประเทศมีเจ้าเดียวก็ได้”
ทั้งนี้ในประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องหากมีการควบรวมกิจการกันแล้วจะทำให้การแข่งขันลดลงนั้น หากเปิดข้อมูล ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือแม้แต่ในอังกฤษ ผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่เข้มแข็งจะเหลืออยู่แค่ 3 รายเท่านั้น อย่างสิงคโปร์ แม้จะมีผู้เล่นหลายราย แต่สุดท้ายก็เหลือแค่ 3 ราย คือสิงเทล เอ็มวัน สตาร์ฮับ ซึ่งหากเทียบกับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่เหลือผู้ให้บริการอย่าง เอไอเอส ทรู ดีแทค และเอ็นที มี 3 ราย ก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังมีการแข่งขันให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ ไม่ถึงกับไม่มีตัวเลือกเลย
อย่างไรก็ตามดีลการควบรวมนี้ยังคงต้องฝ่าด่านอรหันต์อีกหลายขั้นตอนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นเกมส์ระยะยาวที่ต้องคอยจับตาดูไม่กระพริบ และเป็นหน้าที่ของ กสทช.ที่ต้องกำกับดูแลและวางเงื่อนไขในการให้บริการไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ.