เงินเดือนเท่านี้ จ่ายเงินเพื่อ “ความสุข” เท่าไหร่? ไม่เกินตัว
.
คำว่า “ไม่เกินตัว” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนมีรายได้มาก บางคนมีภาระเยอะ แต่ถ้าเราลองมาตั้งกฎง่ายๆ เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ทางการเงินแบบไหน ก็จะช่วยให้เราใช้จ่ายได้อย่างสบายใจ ไม่รู้สึกผิด และไม่ทำให้แผนการเงินในระยะยาวต้องสะดุด
.
วันนี้ aomMONEY อยากชวนทุกคนมาหาคำตอบไปพร้อมกันว่า เราควรจ่ายเงินเพื่อความสุขในอัตราส่วนเท่าไหร่ดี?
.

[ จ่ายเงินเพื่อ “ความสุข” ได้เท่าไหร่ถึงจะพอดี? ]
.
จ่ายน้อยๆ ไม่เกิน 5% ของเงินเดือน
.
ถ้าเพิ่งเริ่มต้นทำงาน รายได้ที่ยังไม่สูงมาก หรือมีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบมาก การจัดสรรเงินสำหรับ “ความสุข” อาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
.
สัดส่วน 5% เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในช่วงสร้างฐานะทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นเก็บเงินฉุกเฉิน สร้างเงินออมเพื่อเกษียณ หรือกำลังผ่อนบ้าน ผ่อนรถ
.
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้ามีเงินเดือน 20,000 บาท งบประมาณ 5% ของเงินเดือนจะเท่ากับ 1,000 บาทต่อเดือน เงินจำนวนนี้อาจจะฟังดูไม่เยอะ แต่ก็สามารถสร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ได้ เช่น
- การซื้อกาแฟดีๆ ดื่มสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
- ดูหนังในโรงภาพยนตร์เดือนละ 1-2 เรื่อง
- ซื้อของที่อยากได้เล็กๆ น้อยๆ เช่น หนังสือเล่มใหม่
.
การใช้จ่ายในระดับนี้จะช่วยให้ยังรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ตึงจนเกินไป และในขณะเดียวกันก็ไม่กระทบต่อเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวของคุณ
.
ทางเลือกที่ 2 จ่ายกลางๆ ไม่เกิน 10% ของเงินเดือน
.
สำหรับคนที่เริ่มมีรายได้มากขึ้น มีเงินออมที่มั่นคงในระดับหนึ่ง และไม่มีภาระหนี้สินหนักหนาจนเกินไป การจัดสรรเงินสำหรับ “ความสุข” ที่ 10% ของเงินเดือนเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างเหมาะ
.
ลองนึกภาพว่าคุณมีเงินเดือน 40,000 บาท งบประมาณ 10% ของเงินเดือนจะเท่ากับ 4,000 บาทต่อเดือน เงินจำนวนนี้จะช่วยให้สามารถสร้างความสุขได้หลากหลายขึ้น เช่น
- การทานอาหารดีๆ ในร้านที่ชอบสัปดาห์ละครั้ง
- เดินทางท่องเที่ยวในประเทศแบบสั้นๆ ในทุกๆ เดือน หรือสองเดือนครั้ง
- ซื้อของที่อยากได้ที่มีราคาสูงขึ้นมาหน่อย เช่น เครื่องสำอาง หรืออุปกรณ์ Gadget ต่างๆ
.
การจัดสรรงบประมาณที่ 10% ถือว่าไม่ได้มุ่งเน้นแต่การทำงานและการเก็บออมเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณภาพมากขึ้น
.
ทางเลือกที่ 3 จ่ายมากๆ ไม่เกิน 20% ของเงินเดือน
.
ถ้ารายได้สูง มีเงินเก็บที่เพียงพอต่อความต้องการในระยะสั้นและระยะยาว มีความสามารถในการลงทุน หรือไม่มีภาระหนี้สินใดๆ การจัดสรรเงินสำหรับ “ความสุข” ที่ 20% ของเงินเดือนถือเป็นตัวเลือกที่สามารถทำได้
.
สัดส่วน 20% เหมาะสำหรับคนที่การเงินค่อนข้างมั่นคงและมีอิสระในการใช้จ่ายมากขึ้น การใช้จ่ายในสัดส่วนนี้จะช่วยให้คุณได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ออกไปเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ หรือได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน
.
ยกตัวอย่างว่าคุณมีเงินเดือน 70,000 บาท งบประมาณ 20% ของเงินเดือนจะเท่ากับ 14,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถใช้เพื่อเติมเต็มความสุขได้ในระดับที่สูงขึ้นมาก เช่น
- การเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศปีละ 1-2 ครั้ง
- ลงเรียนคอร์สเรียนพิเศษในสิ่งที่ชอบ เช่น เรียนทำอาหาร เรียนดนตรี หรือเรียนภาษา
- ซื้อของสะสมที่มีราคาสูง
.
สิ่งที่ aomMONEY นำเสนอเป็นเพียงแค่แนวทางเท่านั้น ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าทุกคนต้องทำตามนี้เป๊ะๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของตัวเอง และหาจุดสมดุลที่เหมาะสม
.
ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความสุขจากการได้กินอาหารอร่อยๆ บางคนมีความสุขจากการได้ท่องเที่ยว บางคนมีความสุขจากการได้ซื้อของที่อยากได้
.
ไม่ว่าความสุขของคุณจะเป็นแบบไหน สิ่งสำคัญคือการใช้จ่ายอย่างมีสติและไม่เกินตัว และที่สำคัญที่สุด อย่าปล่อยให้เงินที่คุณหามาต้องกลายเป็นต้นเหตุของความเครียดในชีวิต เพราะเงินควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น
.
ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ลองสำรวจรายรับรายจ่ายของตัวเองดู แล้วลองตั้งเป้าหมายง่ายๆ ในการจัดสรรเงินสำหรับ “ความสุข” ของตัวเองดู แล้วคุณจะพบว่า การใช้เงินเพื่อเติมเต็มความสุขไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอีกต่อไป
ที่มา. เพจ aomMONEY