ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องแนวโน้มธุรกิจหุ้นกลุ่ม “ซีพี”

โดย littleboy
เผยแพร่ :
222 views

ส่องแนวโน้มธุรกิจหุ้นกลุ่ม “ซีพี”

เมื่อปี 66 กำไรจะเติบโตอย่างโดดเด่น

 

.

ประกาศออกมาครบแล้วสำหรับผลประกอบการปี 2565 ของหุ้นในกลุ่มซีพี ซึ่งมีทั้งกำไรที่เป็นไปตามคาดและออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์และตลาดคาดการณ์ไว้ แต่แนวโน้มปี 2566 จะเป็นอย่างไร จะเติบโตดีกว่าปีก่อนหรือไม่ Wealthy Thai มีคาดการณ์กำไรสุทธิ และทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ของหุ้นในกลุ่มซีพีอย่าง CPALL, CPF, MAKRO และ TRUEE มานำเสนอ

.

มาเริ่มกันที่ CPALL หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) โดยนักวิเคราะห์จาก บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดการณ์ไตรมาส 1/66 จะเติบโตจากไตรมาส 4/65 จากค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะลดลง รวมถึงได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ โดยเฉพาะสาขาในเมืองท่องเที่ยว พร้อมยังคงเป้าขยายสาขาในปีนี้ที่ 700 สาขา เท่ากับปีก่อน ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 19,428 ล้านบาท เติบโต 46% จากปีก่อน

.

ขณะที่ราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา underperform SET ประมาณ 4% ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์มองว่าราคาหุ้นของ CPALL จะกลับมา outperform SET ได้จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อจากการยอดขายจากการเปิดเมือง รวมถึงแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ลดลง และมองปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งจะช่วยหนุนทั้งธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งจากการเติบโตของ HoReCa และธุรกิจค้าปลีกที่จะเห็นค่าใช้จ่ายลดลงและยอดขายที่กลับมาฟื้นตัว ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 75 บาท

.

ถัดมา CPF หรือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) โดยนักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาต้นทุนวัตถุดิบการเลี้ยงยังสูงขึ้นต่อทั้งราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1/66 จะชะลอตัวจากไตรมาส 4/65 แต่คาดจะยังเติบโตจากไตรมาส 1/65 เพราะได้จากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่จะฟื้นตัว อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าราคาหมูทั้งในไทยและเวียดนามมีโอกาสผ่านจุดต่ำสุดไปในไตรมาส 1/66 และจะฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2/66 และไตรมาส 3/66 ตามลำดับ

.

ทั้งนี้ แนวโน้มราคาขายเฉลี่ยมีโอกาสปรับสูงขึ้นอีกครั้งในเดือนเม.ย. ที่เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งจะช่วยหนุนอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่ในเวียดนามประเมินว่าราคาหมูมี Downside risk จำกัดแล้ว อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์เห็นความท้าทายมากขึ้นสำหรับปี 2566 จากแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง, ราคาต้นทุนการเลี้ยงที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

.

ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 2566 ลง 10.5% เป็น 12,813 ล้านบาท เติบโต 18.6% จากปีก่อน คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 27.50 บาท ในเชิงกลยุทธ์ยังขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น จึงยังไม่ต้องรีบเข้าลงทุน หรือเหมาะสาหรับการลงทุนระยะยาว

.

ขณะที่ MAKRO หรือ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ธุรกิจโลตัสฟื้นตัวค่อนข้างช้า โดยระยะสั้นจะมีแรงกดดันจากต้นทุนค่าไฟขึ้นจากปีก่อนเฉลี่ยเดือนละประมาณ 85- 100 ล้านบาท และรายจ่ายโลตัสทรงตัวสูง เพราะอยู่ระหว่างการปรับรูปแบบสาขาให้ทันสมัยและสอดคล้องกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับกำไรปกติปี 2566 ลง 13% มาอยู่ที่ 11,280 ล้านบาท ฟื้นตัว 47% จากฐานต่ำและการรับรู้การ synergies ที่จะมีมากขึ้น โดยให้น้ำหนักช่วงที่จะเกิดในครึ่งหลังของปีนี้

.

ทั้งนี้ แม้ทิศทางยอดขายของสาขาเดิม (SSSG) ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. 66 ของทั้งแมคโครที่คาดโต 12-14% และโลตัส คาดโต 2-4% จะดูดีขึ้นกว่าไตรมาส 4/65 อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันด้านมาร์จิ้นทั้งส่วนการทำการตลาดของโลตัส, ผลกระทบการปรับขึ้นของค่า FT และค่าใช้จ่ายทางบัญชีในการคืนหนี้ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่คาดจะบันทึกในไตรมาส 1/66 อีก 210 ล้านบาท จึงคาดกำไรปกติไตรมาส 1/66 จะทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่จะลดลงจากไตรมาส 4/65 ตามฤดูกาล ฝ่ายวิเคราะห์ปรับคำแนะนำลงเป็น “NEUTRAL” มีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 38.50 บาท จากเดิม “TRADING BUY” และเป้าเดิม 40 บาท

.

ด้าน TRUEE หรือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี ระบุว่า คาดแนวโน้มของ TRUEE หลังควบรวมกับ DTAC จะสดใสมากขึ้น เนื่องจากคาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันด้านราคาที่ลดลงจากผู้เล่นทุกราย

.

นอกจากนี้ ยังพบว่า DTAC และ TRUE ใช้ความพยายามอย่างจริงจังในการ write-down สินทรัพย์ที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ ซึ่งจะทำให้ค่าเสื่อมราคาของบริษัทหลังควบรวมลดลงได้อย่างมาก ฝ่ายวิเคราะห์กำลังอยู่ในกระบวนการจัดทำประมาณการใหม่ของบริษัทหลังควบรวม เพราะมีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาก่อนการควบรวม

 

 


littleboy