เปิดเหตุผล ทำไม VI แอบเก็บ TEAMG กับโอกาสเติบโตหากรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส โดยเฉพาะโลกของการลงทุนที่ปัจจุบันเจอวิกฤติ COVID-19 กระทบอย่างหนัก ทำให้หุ้นในทุกหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดยหลายหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมากกว่า 50% แต่ในบางธุรกิจ ก็ไม่ได้รับผลกระทบ และยังสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ ก็ยังมีคนที่เฝ้ารอจังหวะในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนในกลุ่ม VI ที่ล่าสุดเราได้เห็นความเคลื่อนไหวของนักลงทุน VI เข้าลงทุนในหุ้นของบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอะไรทำให้นักลงทุน VI สนใจหุ้นอย่าง TEAMG และอนาคตของบริษัทเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมาร่วมกันหาคำตอบ
2 นายกสมาคม VI เข้าเก็บหุ้น TEAMG
WEALTHY THAI พบข้อมูลที่น่าสนใจของผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TEAMG เมื่อมีนักลงทุนแนว VI จำนวน 2 รายเข้าถือหุ้น คือ นายชาย มโนภาส นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เก็บหุ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.34% จากเดิมที่เคยถือ 1.03% และมี นายอนุรักษ์ บุญแสวง อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ถือหุ้น 0.72%
การเคลื่อนไหวของ 2 นายกสมาคม VI เข้ามาเก็บหุ้น TEAMG นั้นเป็นจุดที่น่าสนใจ เพราะ TEAMG อยู่ในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แบบจำกัด และถือว่าไม่มากนัก อีกทั้งการลงทุนของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นโอกาสของบริษัท ทั้งการเข้าไปออกแบบโครงการ และดูแลงานก่อสร้างด้วย
COVID-19 กระทบระยะสั้น
นาย อภิชาติ สระมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEAMG ให้ข้อมูลกับ WEALTHY THAI ว่า ธุรกิจของบริษัทในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าได้รับผลกระทบกับ COVID-19 บ้างในแง่ของงานโครงการขนาดใหม่ที่จะเข้ามา ลดน้อยลง เพราะงานประมูลถูกเลื่อนออกไป โดยเฉพาะงานของภาครัฐ แต่ในฝั่งของเอกชนกลับมีงานเพิ่มขึ้น
“COVID-19 กระทบในแง่ของงานใหม่ที่จะเข้ามาโดยเฉพาะในงานของภาครัฐบาลที่ถูกเลื่อนออกไป แต่ในฝั่งเอกชนเราพบว่ามีงานต่างๆเข้ามาเพิ่มขึ้น ส่วนไตรมาสที่ 2 ต้องจับตาว่าจะเป็นอย่างไรอาจมีงานประมูลใหม่ๆที่เลื่อนออกไปซึ่งจะกระทบกับ Backlog ในอนาคต”
สำหรับทิศทางธุรกิจในปีนี้ บริษัทยังมองว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย โดยปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 3,600 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ปีนี้ที่ 1,500 – 2,000 ล้านบาท ส่วนประเด็นการเข้ามาถือหุ้นของนักลงทุน VI บริษัทไม่ได้รับการติดต่อจากนักลงทุนรายดังกล่าวว่าสนใจเข้ามาถือหุ้นของบริษัท แต่มองว่าน่าจะเกิดจาก “การมั่นใจในธุรกิจของ TEAMG ที่เติบโตได้ดี”
ต้นทุนบริหารต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า บริษัทรายงานกำไรสุทธิกำไรไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 24.6 ล้านบาท ลดลง 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 29.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส่อนหน้า ซึ่งการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นเป็นสาเหตุหลักของกำไรที่ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน ในขณะที่การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริการยังทำได้ดี โดยต้นทุนบริหารต่อยอดขายเหลือเพียง 19.5% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
โดยอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 1 อยู่ที่ 25.5% ต่ำกว่าไตรมาสก่อนที่ 31.6% และต่ำกว่าปีก่อนที่ 28% เป็นผลมาจากงานภาครัฐที่ล่าช้าทำให้มีการปรับประมาณการต้นทุนใหม่ และทำให้ต้นทุนไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ อัตรากำไรขั้นต้นลดลงมากกว่าระดับปกติ แต่จะสามารถกลับมาเพิ่มขึ้นหากสามารถต่ออายุสัญญาได้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของเศรษฐกิจจะมีผลต่ออัตรากำไรในภาพรวม
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารยังลดลงต่อเนื่อง อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อยอดขายยังคงลดลงต่อเนื่อง ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 19.50% ลดลงมากนับตั้งแต่เราจัดทำบทวิเคราะห์มา เทียบกับปี 2562 ที่ 22.3% และปี 2561 ที่ 25.3% การลดต้นทุนยังทำได้ดีมาก แต่การเพิ่มรายได้และอัตรากำไร หากทำได้จะสร้างการเติบโตในระยะยาวที่ยั่งยืนกว่า
โดยปรับอัตรากำไรขั้นต้นลงหลังงบไตรมาส 1/2563 ออกมาต่ำ โดยในส่วนของงานภาครัฐมีการล่าช้า ทำให้มีการปรับประมาณการต้นทุนใหม่ ส่งผลให้อัตรากำไรในไตรมาส 1 ลดลง แม้ว่าในรายการนี้จะเป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่สภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีโอกาสชะลอตัว เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรโดยรวมทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทำให้เราปรับประมาณการกำไรขั้นต้นส่วนลง และประเมินอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้เหลือ 32.5%
ดังนั้นจึงประเมินกำไรในปีนี้ใหม่ที่ 147.5 ล้านบาท ลดลง 11.8% จากปีก่อน โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะทำให้มีการแข่งขันที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้งาน Backlog ยังอยู่ระดับสูงอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท รวมงานใหญ่รถไฟฟ้า 3 สนามบินไว้แล้ว และไตรมาสนี้ได้รับงานเพิ่มขึ้นอีก 270 ล้านบาท ทยอยเพิ่มขึ้น แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน โดยรวมจะชะลอตัว
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2563 เท่ากับ 2.82 บาท/หุ้น โดยอ้างอิงกับ P/E ปี 2020 ที่ 13 เท่า ลดลงจากเดิม 3.15 บาท บริษัทมีฐานะการเงินดี มีเงินสดในมือสูง เป็นโอกาสในการเตรียมพร้อมสำหรับการขยายการลงทุนในอนาคต และปีนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเข้ามา ส่งผลให้กำไรยังเติบโต
การเข้าลงทุนของนักลงทุน VI จำนวน 2 ราย จะก้าวที่สำคัญที่เข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นในสถารการณ์ตลาดหุ้นที่ไม่ปกติ ทั้งนี้ดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ที่เลือกเข้าลงทุนในช่วงนี้ เพราะในอนาคตหากรัฐบาลจะต้องลงทุนโครงการขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นธุรกิจ ก็ต้องจ้างที่ปรึกษาโครงการก่อน เมื่อประมูลมีผู้ก่อสร้างแล้วก็ต้องมีผู้ควบคุมงานก่อสร้างอีก ซึ่งในทั้ง 2 กลุ่ม TEAMG เป็นผู้เล่นรายใหญ่อยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม TEAMG ก็มีโอกาสที่จะเติบโต แล้วท่านผู้อ่านล่ะ มีมุมมองกับ TEAMG อย่างไร COMMENT กันเข้ามาได้ครับ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก