แบงก์ชาติจับตาตลาดเงินผันผวนหนัก ผวา 100 วันนโยบายเศรษฐกิจทรัมป์ กดดันค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่าลง หวั่นสหรัฐเปิดฉากสงครามการค้ากับจีน ส่งผลกระทบหุ้นกลุ่มส่งออก-อิเล็กทรอนิกส์ ด้านสมาชิก TPP ที่เหลือยังคงยื้อข้อตกลงต่อ น้ำมันดิบวิ่ง 50-55 เหรียญ/บาร์เรล จากนโยบายฟื้นแหล่งเชลออยล์เชลก๊าซ เตรียมรื้อข้อตกลง NAFTA คิวต่อไป
"America First" ได้สะท้อนออกมาเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในคำกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโดนัลด์ทรัมป์ เมื่อ 20 มกราคมที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับตาของทุกประเทศทั่วโลกว่า นโยบายเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลสหรัฐจะกระทบกับผลประโยชน์ของประเทศตนอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า-การลงทุน-การเงิน
เลิก TPP ไม่กระทบไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐนตรี กล่าวว่า การยกเลิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก Trans-PacificStrategic EconomicPartnership Agreementหรือ TPP "จะไม่มีผลกระทบมากนักต่อไทย" แต่จะผลักดันให้ไทยแสวงหาหนทางอื่น หนทางการเจรจาการค้าในกรอบอื่น ๆ โดยไทยมีความสนใจและเตรียมตัวอยากเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP) 16 ประเทศ
สอดคล้องกับนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยต้องเร่งผลักดันการเจรจา RCEP ให้ได้ข้อสรุปภายในปี 2560
เนื่องจาก RCEP จะเป็นกรอบการเจรจาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แทน TPP นอกจากนี้ไทยยังสามารถเพิ่มโอกาสทางการค้า-ลงทุนกับสหรัฐในกรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุน (TIFA) "ดังนั้นนโยบายที่ทรัมป์ประกาศจะยังไม่กระทบการค้าไทย-สหรัฐ"
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า นโยบายทรัมป์กระทบต่อไทยทั้ง 2 ด้าน ทางลบเกิดจากความกังวลที่สหรัฐจะออกนโยบายปกป้องและกีดกันการค้ากับตลาดสำคัญของไทย เช่น จีน-เม็กซิโก โดยปรับขึ้นภาษีรายสินค้าในประเทศนั้น ซึ่งจะทำให้การส่งออกสินค้าในรายการที่ใกล้เคียงกันได้รับผลกระทบ อาทิ เครื่องจักร/เครื่องจักรกล, เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้านบวกการถอนตัวจาก TPP ทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศอื่นน้อยลง และที่สหรัฐมีมาตรการกระตุ้นบริโภคภายในและกดดันจีน จะทำให้เงินหยวนอ่อนค่า เป็นผลดีต่อการส่งออกไทย
รื้อ NAFTA ลำดับต่อไป
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า การถอนตัวออกจากความตกลง TPP ของสหรัฐจะทำให้ประเทศสมาชิกที่เหลือ 11 ประเทศไม่สามารถให้สัตยาบัน TPP ได้ เพราะผิดเงื่อนไขที่ระบุว่าต้องมีประเทศสมาชิกรวมกลุ่มกันมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 85% จึงให้สัตยาบันเพื่อให้ TPP มีผลบังคับใช้ได้ โดยสหรัฐประเทศเดียวมีสัดส่วน 50% ของกลุ่ม TPP ดังนั้นหากสหรัฐ-ญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวยกเลิกเท่ากับว่า "ความตกลงทั้งฉบับต้องยกเลิกไปโดยปริยาย"
ล่าสุดมีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศเข้ามาว่า ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสมาชิกใน TPP ยังคงพยายามจะกอบกู้ความตกลงการค้าฉบับนี้ให้เดินหน้าต่อไป โดยนายมัลคอร์ม เทิร์นบูล นายกฯ ออสเตรเลีย ได้หารือกับ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ถึงความเป็นได้ในการผลักดัน TPP ต่อไป
ด้าน ดร.รัชดา เจียสกุล ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ และผู้อำนวยการกลุ่ม บจ. โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้ศึกษาแนวทางการเจรจา TPP ในปี 2555 ระบุกรณีสหรัฐจะทบทวนความตกลงทางการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement หรือ NAFTA) ระหว่างสหรัฐ-แคนาดา-เม็กซิโกใหม่นั้น สหรัฐยังต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง ส่วนการประเมินผลกระทบขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดว่า มีรายการใดที่ไทยส่งออกไปสหรัฐแข่งขันกับ NAFTA แต่เทียบแล้ว กลุ่ม NAFTA ได้เปรียบไทยในเรื่องต้นทุนค่าขนส่ง "ไทยควรรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศไม่เพียงเฉพาะสหรัฐ แต่รวมจีนและอาเซียนด้วย"
ธปท.จับตาความผันผวนแรงขึ้น
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ต้องติดตามดูในรายละเอียดนโยบายทรัมป์ ทั้งเรื่องความผันผวนของค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นเรื่องของทุกคนทุกประเทศ คาดว่าความผันผวนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ดังนั้นการดูแลผลกระทบเป็นเรื่องสำคัญ และต้องติดตามจากนโยบายต่าง ๆ
สำหรับการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของไทยจากนี้ต้องมองผลระยะยาว การทำนโยบายการเงินต้องมั่นใจว่าประเทศมีภูมิคุ้มกันที่ดีที่สามารถรองรับทุกสถานการณ์ผันผวนได้ "กรณีอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ ยีลด์) ในตลาดเงินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เกิดขึ้นตามภาวะตลาดเงินโลก จากที่ดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยในตลาดก็เพิ่มขึ้นตาม เช่น กรณีสหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากที่คาดว่าจะมีความต้องการกู้เงินในสหรัฐมากขึ้น จากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ยังมีความผันผวน เพราะนโยบายต่าง ๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์ยังต้องอาศัยเวลาอีกสักระยะหรือประมาณปีกว่า ๆ จึงจะเห็นความต้องการกู้ยืมเงินจริง และคาดว่าจะยังไม่เห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐเร็วนัก"นายวิรไทกล่าว
นายพอล แม็คเคล หัวหน้าฝ่ายวิจัยกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนตลาดเกิดใหม่ ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า การดำเนินนโยบาย 100 วันของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อจากนี้ จะยิ่งมีส่วนกดดันให้สกุลเงินเอเชียอ่อนค่าได้ โดยเฉพาะนโยบายสหรัฐที่จะกดดันต่อประเทศคู่ค้าคาดว่า จะมีผลต่อจีนและเกาหลีใต้ เนื่องจาก 2 ประเทศนี้อยู่ใน 6 ผู้ส่งออกรายใหญ่สุดที่ไปสหรัฐ "มาตรการต่อจีนที่เข้มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้จะมีผลให้เงินสกุลเอเชียมีความผันผวนมากขึ้น"
นายอาทิตย์นันทวิทยากรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดสหรัฐน่าจะฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการค้าและตลาดเงินทั่วโลก ทำให้หลายประเทศอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนที่เกิดขึ้น "ทั่วโลกตื่นตัวมากขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ถึง 4 ครั้ง ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงิน เช่น การออกหุ้นกู้ของผู้ประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจรายใหญ่ที่เคยออกระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ในยุคดอกเบี้ยต่ำ ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการระดมทุน โดยหันมาขอสินเชื่อแบงก์มากขึ้น หากเทียบหุ้นกู้ที่ต้นทุนการเงินมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นล่วงหน้า เนื่องจากอ้างอิงดอกเบี้ยสหรัฐไปแล้ว"
ค้าหุ้นมองทรัมป์หนุนตลาดทุน
ขณะที่ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะ 100 วันเชื่อว่า น่าจะตอบรับในแง่บวกเพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้ตอบรับแรงกดดันล่วงหน้าไปค่อนข้างมากแล้ว ทั้งทิศทางฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และดัชนีที่ปรับฐานในช่วงก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง จากนี้ทุกคนจะรอดูผลจากการดำเนินนโยบายของนายทรัมป์ที่จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป และส่วนตัวยังมองโลกในแง่ดี โดยคาดว่าทรัมป์จะผลักดันนโยบายทุกอย่างที่เคยได้หาเสียงไว้ ซึ่งน่าจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของสหรัฐเติบโตดีขึ้น และหนุนให้เศรษฐกิจโลกเติบโตไปด้วย
น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวถึงผลกระทบจากนโยบายด้านการค้าสหรัฐต่อหุ้นไทยในปี 2560 จะอยู่ในกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นซัพพลายเชนที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้า "น่าจะไม่มากนัก" โดยไทยจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกไปยังจีนมากกว่า
การกลับมาของเชลแก๊ส/ออยล์
นายมนูญศิริวรรณผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวถึงนโยบายด้านพลังงานของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการให้พัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศขึ้นมานั้น ก็เพื่อลดการนำเข้าปิโตรเลียมราคาแพงจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้มีการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเชลแก๊ส-เชลออยล์มากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่มีการปรับราคาสูงมากนักจากเฉลี่ยปัจจุบันที่ 50 เหรียญ/บาร์เรล
"แต่ทั้งนี้ยังต้องมองปัจจัยอย่าง กลุ่ม OPEC-Non OPEC ว่าจะสามารถลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงได้ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามคาดว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกในปีนี้ น่าจะอยู่ที่ระดับ 50-55 เหรียญ/บาร์เรล และอาจมีโอกาสแตะที่ระดับ 60 เหรียญ/บาร์เรลได้ แต่มีโอกาสน้อยที่ราคาน้ำมันดิบจะขึ้นไปถึงระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรล" นายมนูญกล่าว