หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ท่ามกลางสภาวะธุรกิจที่ยังท้าทาย

.
หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงได้รับความน่าสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดนักวิเคราะห์ยังมองว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังมีปัจจัยบวกเข้ามาในนักลงทุนได้ชื่นใจไม่ว่าจะเป็นมุมมองของบล.เอเซีย พลัส จำกัด ที่มีความเห็นว่า กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของธีม China Play โดย Demand การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ให้หุ้นเด่นคือ KCE, SMT ขณะที่บล.กรุงศรี มองจะได้อานิสงส์ Bond yield อ่อนตัวลง ทั้ง KCE และ HANA
.
สำหรับหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนไปกว่า 57.44% ขณะที่ภาพรวมดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 0.67% ดังนั้นคอลัมน์โพยหุ้นประจำวันจันทร์ Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจปัจจัยพื้นฐานของ 4 หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยอดนิยมของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น DELTA, HANA, KCE และ SVI
.
อย่างไรก็ตามจากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ทำให้ P/E ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากข้อมูลล่าสุดวันที่ 12 ม.ค.2566 ที่นำโด่งโดย DELTA เท่ากับ 82.1 เท่า ตามด้วย HANA เท่ากับ 49.99 เท่า KCE เท่ากับ 24.64 เท่า และ SVI เท่ากับ 12.65 เท่า ในขณะที่ P/E อุตสาหกรรมเท่ากับ 63.80 เท่า และ P/E ตลาด เท่ากับ 18.37 เท่า
.
ทั้งนี้ในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน มุมมองของนักวิเคราะห์บล.ธนชาต มีความเห็นว่า แนวโน้มกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไทย ยังไม่สดใส โดยบริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง TSMC คาดการณ์กำไรในไตรมาส 1/66 ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก demand ที่อ่อนแอ คาดว่าในครึ่งแรกปี 66 จะอ่อนตัวกว่าคาด ก่อนที่จะกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 66
.
ดังนั้นจึงมองว่าเป็น Sentiment เชิงลบ ต่อกลุ่มผู้ผลิตชิปในไทย นอกจากนี้ยังถูกกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า จึงแนะนำ “ขาย” DELTA (ราคาเป้าหมาย 538 บาท), HANA (ราคาเป้าหมาย 44 บาท) และ KCE (ราคาเป้าหมาย 40 บาท)
.
ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ระบุว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมน่าจะท้าทายในปี 2566 ซึ่ง SIA รายงานว่ายอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในเดือน พ.ย. 2565 ปรับตัวลดลง 9.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2.9% จากเดือนก่อน มาอยู่ที่ 4.55 หมื่นล้านบาท เติบโตติดลบเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันในรอบ 32 เดือนล่าสุด ตั้งแต่ปี 2562
.
ทั้งนี้ตลาดคาดว่าแนวโน้มการเติบโตในปี 2566 จะออกมาคละกัน ตั้งแต่เติบโตหลักหน่วย ไปจนถึงติดลบหลักสิบ ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่รายได้ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไทยจะอ่อนตัวลงตามของโลก แต่คาดผลกระทบจะจำกัดกว่ารอบก่อนๆ เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่มีการมุ่งเน้นไปยังกลุ่มที่มีอัตราเติบโตสูงมากขึ้น เช่น EV และ cloud components ขณะที่คาดว่าอุปสงค์สมาร์ทโฟน และ PC และอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค จะอ่อนตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกปีนี้ และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
.
อย่างไรก็ตามคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว แต่มีมุมมองระมัดระวังในระยะสั้น แม้คาดว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังปีนี้ แต่เงินบาทที่แข็งค่าจะเป็นปัจจัยลบต่อกำไรสุทธิและราคาหุ้นของกลุ่มในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดีคาดว่าจะเป็นโอกาสในการสะสมหุ้น เพราะคาดว่าอัตราตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรจะแตะระดับสูงสุดและปรับตัวลง ซึ่งคาดจะส่งผลให้มีการเพิ่มตัวคูณมูลค่าของกลุ่ม
.
ดังนั้นคงมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มเนื่องจากคาดว่ากลุ่มยังมีปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ทั่วโลก ลดคำแนะนำ DELTA ลงเป็น “ขาย” และ SVI ลงเป็น “ถือ” เนื่องจาก ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside ที่จำกัดต่อราคาเป้าหมาย คงคำแนะนำ “ถือ” KCE และ “ซื้อ” HANA เลือก HANA เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
.
• DELTA ฝ่ายวิจัยปรับลดคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ขาย” เนื่องจากเชื่อว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดีแล้ว แต่เพิ่มราคาเป้าหมายจาก 590 บาท เป็น 710 บาท เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไร
.
• HANA คงคำแนะนำ “ซื้อ” เพิ่มราคาเป้าหมายจาก 56 บาท เป็น 64 บาท เพื่อสะท้อนถึงการเพิ่มตัวคูณมูลค่า แม้ปรับลดประมาณการกำไรจากสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ก็ตาม ชอบ HANA และเลือกเป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจาก HANA จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากเงินบาทที่แข็งค่า เป็นผลมาจากการป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังคาดว่า HANA จะมี่คำสั่งซื้อที่เกี่ยวข้องกับส่วนประกอบ EV รวมถึงธุรกิจ SiC เพิ่มขึ้นด้วย โดยน่าจะเป็นวงจรการเติบโตใหม่ของบริษัทในปี 2566-2567
.
• KCE คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 48 บาท เนื่องจาก ไม่คาดว่าจะฟื้นตัวใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า แม้คาดว่าต้นทุนวัตถุดิบหลักจะลดลงตั้งแต่ไตรมาส 4/2565 เป็นต้นไป แต่คาดว่า KCE จะปรับลด ASP ในไตรมาส 1/2565 หลังจากการเจรจาประจำปี จะลดผลประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อ GPM และทำให้กำไรช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ไม่น่าสนใจ
.
• SVI ปรับลดประมาณการของ SVI จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” แต่คงราคาเป้าหมาย 11.3 บาท เนื่องจากราคาหุ้น ปัจจุบันมี upside จำกัดเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย เชื่อว่า SVI จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่ามากที่สุด