ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตี๋โบ๊โผล่หัวคุย

โดย Turbo
เผยแพร่ :
64 views

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

อานิสงส์ 'หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง' ดัน 'ฮัมบวร์ก' ท่าเรือสินค้าใหญ่สุดในยุโรป
.

ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า, เมฆ, สะพาน และสถานที่กลางแจ้ง
เพเทอร์ เชนท์เชอร์ นายกเทศมนตรีนครฮัมบวร์ก (Hamburg) ของเยอรมนี กล่าวชื่นชมแผนริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (BRI) ของจีน ที่ช่วยผลักดันให้ท่าเรือฮัมบวร์กกลายเป็นท่าเรือร่วมเรือ-รถไฟขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป
.
เชนท์เชอร์กล่าวต่อที่ประชุมธุรกิจเซี่ยงไฮ้-ฮัมบวร์กว่าราว 1 ใน 3 ของเรือสินค้าที่ท่าเรือฮัมบวร์กมีต้นทางหรือปลายทางอยู่ในจีน และมีรถไฟสินค้าระหว่างประเทศมากกว่า 30 สาย วิ่งระหว่างฮัมบวร์กและเมืองต่างๆ ในจีนทุกสัปดาห์
.
“แผนริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง ได้ส่งเสริมบทบาทของฮัมบวร์กในการเป็นประตูสู่ยุโรปแก่กลุ่มผู้ประกอบการชาวจีน และยังนำพาโอกาสการพัฒนามาให้เราด้วย” เชนท์เชอร์กล่าวต่อที่ประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นในนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อวันจันทร์ (26 ส.ค.)
.
เชนท์เชอร์อ้างอิงข้อมูลจากทางการฮัมบวร์กที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเยอรมนีว่ามีบริษัทจีนเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในฮัมบวร์กมากกว่า 550 ราย และแต่ละปีมีตู้คอนเทนเนอร์ขนาดมาตรฐานราว 4.8 ล้านตู้ถูกขนส่งระหว่างฮัมบวร์กและจีน
.
“ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าท่าเรืออื่นๆ ทุกแห่งในยุโรป” เชนท์เชอร์กล่าว
.
อังเกลา ทิตส์ราต ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทฮัมบวร์แกร์ ฮาเฟน อุนด์ โลกิสทีก (HHLA) กล่าวว่าฮัมบวร์กพยายามคงสถานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเล็งเป้าหมายไปยังเอเชียเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจีน
.
ทิตส์ราตประเมินว่าปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างฮัมบวร์กและเมืองต่างๆ ในจีนจะปรับขึ้นเป็นมากกว่า 600,000 ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดมาตรฐานภายในปี 2025 ด้วยแรงสนับสนุนจากแผนริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง
.
นอกจากนั้นฮัมบวร์กยังช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลาง-ตะวันออกและจีนด้วยการเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าตามเส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล
.
อนึ่ง แผนริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง ซึ่งจีนนำเสนอในปี 2013 แบ่งเป็นแถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 โดยมีเป้าหมายสร้างโครงข่ายการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมเอเชียกับยุโรป แอฟริกา ฯลฯ

 

 

 

ข่าวดี!!ปธ.สภาธุรกิจสหรัฐฯเผยนักลงทุนจริงจังบ่ายหน้ามาไทย ท่ามกลางสงครามการค้าอเมริกา-จีน

 

ภาพจากเอเอฟพี
 
ภาพจากเอเอฟพี

 
 

ซีเอ็นบีซี - นักลงทุนกำลังจ้องมองไทยอย่างจริงจัง ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานในวันอังคาร(27ส.ค.) โดยอ้างความเห็นของอเล็กซานเดอร์ เฟลด์แมน ประธานและซีอีโอสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน 

บ่อยครั้งที่เวียดนามถูกอ้างในฐานะเป็นหนึ่งในผู้ได้รับอานิสงส์รายใหญ่ที่สุดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เนื่องจากบริษัททั้งหลายตัดสินใจโยกย้านฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการรีดภาษี

อย่างไรก็ตาม เฟล์ดแมน ระบุว่าตลาดแรงงานของเวียดนามกำลังตึงตัว และภาคธุรกิจกำลังมองหาทางเคลื่อนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียแทน ในนั้นรวมถึงประเทศไทย

ในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งยืดเยื้อมานานนับปี ทั้งสองประเทศต่างกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากอีกฝ่ายตอบโต้กันไปมาแล้วหลายรอบมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขียนบนทวิตเตอร์หลังปักกิ่งประกาศรีดภาษีเพิ่มเติม ออกคำสั่งให้บริษัทต่างๆของอเมริกาเริ่มหาทางย้ายออกจากจีนในทันที

เฟล์ดแมน ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี เผยว่าบริษัทแบรนด์เนม 3 แห่งได้ย้ายคนจากจีนไปยังเมืองไทยแล้ว แต่เขาไม่เปิดเผยชื่อบริษัทเหล่านั้น "บริษัททั้ง 3 กำลังย้ายหน่วยงาน แต่คุณก็รู้ ผมคิดว่าเรากำลังได้เห็นเม็ดเงินหลายสิบล้านดอลลาร์ ร้อยล้านดอลลาร์ บางทีอาจมากกว่านั้น สำหรับประเทศไทย" เขากล่าวพร้อมระบุว่าการลงทุนในไทยเป็นส่วนหนึ่งของโนวแน้มระยะยาว

ประธานและซีอีโอสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนบอกต่อว่า ในเดือนพฤษภาคม 2017 หรือแม้แต่ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มกำหนดมาตรการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสินค้านำเข้าจากจีน ทางผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ก็ได้เริ่มย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว และความเคลื่อนไหวดังกล่าวนับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

"ฮาร์เลย์ เดวิดสัน แถลงว่ามียอดขายรถจักรยานยนต์ในมาเลเซียเพิ่มขึ้น 181% โดยที่รถเหล่านั้นผลิตจากโรงงานในไทย ซึ่งทำหน้าที่รองรับตลาดในมาเลเซีย" เขากล่าว

ในผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2019 ของฮาร์เลย์ เดวิดสัน พบว่าต้นทุนที่ถูกลงสำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทางบริษัทมียอดขายปลีกในบรรดาตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบรายปี

นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่ากระแสการค้ากำลังบ่ายหน้าจากเวียดนามแล้ว ตัวเลขขาดดุลการค้ากับเวียดนามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆของสหรัฐฯ ยังก่อความเสี่ยงต่อการค้าทวิภาคีด้วย เฟล์ดแมนให้ความเห็น

"ชัดเจนว่าเวียดนาม คือผู้ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มระยะสั้นรายใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียว แต่คำถามก็คืออเมริกาจะหันปากกระบอกปืนใส่เวียดนามเมื่อไหร่?" เขากล่าว พร้อมเผยว่าเขาได้มีโอกาสพูดคุยกับ เหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนามเมื่อช่วงต้นปีและผู้นำรายนี้แสดงความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขขาดดุลการค้า

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สหรัฐฯขาดดุลการค้าต่อเวียดนามเพิ่มขึ้น 22.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นสหรัฐฯขาดดุลการค้าต่อเวียดนามจำนวน 3,049 ล้านดอลลาร์ และเมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯก็ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีมากถึง 450% ต่อเหล็กกล้าที่นำเข้าจากเวียดนาม

"เหล็กกล้าไม่ใช่สินค้าส่งออกที่สำคัญของเวียดนาม แต่มาตรการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯพร้อมที่จะออกมาตรการตอบโต้เวียดนามต่อไป หากตัวเลขขาดดุลการค้ายังคงพุ่งขึ้น" เฟลด์แมนกล่าว พร้อมเชื่อว่าตัวเลขขาดดุลการค้าอาจก่อความขุ่นเคืองแก่สหรัฐฯและเป็นบ่อนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างฮานอยกับทรัมป์
 

Turbo