อัญมณีและเครื่องประดับไทย: ศักยภาพที่เปล่งประกายบนเวทีโลก
ในวันที่ทองคำทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี โลกอาจเห็นเพียง “ราคา”
แต่สำหรับไทย มันคือ “โอกาส” ที่จะส่งต่อความงามจากฝีมือคนไทยสู่เวทีโลก
“อัญมณีและเครื่องประดับ” กำลังกลายเป็นดาวเด่นของการส่งออก ที่ทั้งสร้างรายได้ สะท้อนศิลปะแห่งฝีมือ และบอกเล่าความเป็นไทยในแบบที่ไม่มีใครลอกเลียนได้

ส่งออก New High!
9 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับได้ถึง 21.7 พันล้านดอลลาร์ เติบโตแรงกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีก่อน และแซงทั้งปี 2567 (18.4 พันล้านดอลลาร์)
ตอกย้ำตำแหน่ง “สินค้าส่งออกอันดับ 3 ของไทย” ที่ครองบัลลังก์ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565
ไทยส่งออกอะไรบ้าง?
สัดส่วนใน 9 เดือนแรกปี 2568
ทองคำยังไม่ขึ้นรูป – 50.9%
เครื่องประดับแท้ – 21.7%
โลหะมีค่าอื่น ๆ – 13.8%
อัญมณีแท้ (พลอย/เพชร) – 11.8%
ส่วนเครื่องประดับเทียมและอัญมณีสังเคราะห์มีสัดส่วนน้อย
หากไม่นับทองคำ มูลค่าส่งออกยังพุ่งถึง 10.7 พันล้านดอลลาร์ (+51%)
ตลาดหลักเปลี่ยนขั้ว: สวิสยังแกร่ง อินเดียมาแรง
สวิตเซอร์แลนด์ยังนำด้วยสัดส่วน 27.2%
อินเดียขึ้นแท่นอันดับ 2 ที่ 16.5% จากเฉลี่ยเพียง 4% ในรอบสิบปีที่ผ่านมา เพราะชนชั้นกลางของอินเดียขยายตัวรวดเร็ว และทองคำยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและการแต่งงาน และไทยคือแหล่งนำเข้าทองคำและเครื่องประดับสำคัญในตลาดนี้
ฮ่องกง ยังคงเป็นจุดผ่านสำคัญของการค้าทองในภูมิภาค
กัมพูชา ลดลงมาอยู่อันดับ 4 ที่ 11.2% หลังปีที่แล้วพุ่งแรง
เทรนด์นี้สะท้อนว่าตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอินเดีย กำลังกลายเป็น “ฟันเฟืองใหม่” ของการค้าทองและเครื่องประดับไทยที่ไม่ควรถูกมองข้าม
การนำเข้าวัตถุดิบก็ขยายแรงไม่แพ้กัน
9 เดือนแรกของปี 2568 ไทยนำเข้ามูลค่า 17.4 พันล้านดอลลาร์ (+24%)
ส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบทองคำ (สัดส่วน 60–80%) รองลงมาคือเพชร พลอย และเงิน
สวิตเซอร์แลนด์ ครองแชมป์แหล่งนำเข้า 20.4%
ฮ่องกง 18.8%
จีน 17.8%
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 14.7%
ทำไมต้องสวิตเซอร์แลนด์?
เพราะสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่ตั้งของโรงกลั่นทองคำรายใหญ่ของโลก
ทองจากไทยจึงมักถูกส่งไปแปรรูปก่อนจะกลับเข้ามาในรูปแบบ “ทองแท่งมาตรฐาน” ที่ใช้ซื้อขายและลงทุนได้ทั่วโลก
จันทบุรี: นครหลวงแห่งอัญมณีของโลก
จันทบุรี คือ เมืองเดียวในโลกที่คนพูดคำว่า “พลอย” แล้วเชื่อถือได้ทันที เป็นเมืองเล็กที่มีชื่อเสียงไกลระดับโลก ด้านการเจียระไน ขัดเงา และซื้อขายอัญมณีสี เช่น ทับทิมและไพลิน
ช่วงปี 2510–2530 คือ “ยุคตื่นพลอย” ที่สร้างตำนาน “ทับทิมสยาม (King Ruby)” พลอยสีแดงสดที่เคยขุดได้จากตราดและจันทบุรี
แม้ไม่มีเหมืองใหญ่เหมือนในอดีต แต่เมืองนี้ยังเป็นที่ที่พลอยจากแทนซาเนียและมาดากัสการ์ต้องมา “ผ่านมือช่างไทย” ก่อนส่งขายทั่วโลก
และแบรนด์ไทยรุ่นใหม่อย่าง Pattaraphan, Ravipa, Haus of Jewelry ก็กำลังขยายตลาดต่างประเทศได้อย่างงดงาม
คู่แข่งในอาเซียนที่ต้องจับตา
อินโดนีเซีย: มีแหล่งทอง เพชร และไข่มุก South Sea รัฐบาลเปิดรับการลงทุนต่างชาติ
สิงคโปร์: ศูนย์กลางการค้าทองคำระดับภูมิภาค
มาเลเซีย: ผลิตเครื่องประดับทองล้วน ต้นทุนแรงงานต่ำ
ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมไทย
หากไทยต้องการก้าวสู่ระดับโลกจริง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะทาง เช่น เขตอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ (Gem & Jewelry Industrial Zone)
รวมถึงการดึงดูดนักออกแบบรุ่นใหม่และการส่งเสริมเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต
จะเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่ผลักดันไทยจาก ผู้ผลิตสู่ผู้นำอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ระดับโลก
โอกาสทองของไทย!
จากฝีมือเจียระไนของช่างจันทบุรี สู่แบรนด์ไทยบนเวทีโลก
ถึงเวลาเปลี่ยน “ทองคำ” ให้เป็น “ทุนทางวัฒนธรรม”
ต่อยอด Soft Power จากงานฝีมือไทย สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่โลกยอมรับ
และผลักไทยขึ้นสู่การเป็น Hub อัญมณีและเครื่องประดับของโลก อย่างแท้จริง
.
เรื่องและภาพ: กุสุมา ธะนะวงศ์ Economist, Bnomics
════════════════
เนื้อที่มาจาก.. Bnomics by Bangkok Bank