ดักเก็บ 7 หุ้นเด่นในช่วงสัปดาห์นี้
รับแรงหนุนสถาบันทำ “วินโดว์ เดรสซิ่ง”

.
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้โดนปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบบรรยากาศการลงทุน จนทำให้นักลงทุนบางรายเลือกที่จะรอปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นอีกครั้ง ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับสัปดาห์นี้ที่ถือเป็นสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 1/66 จึงมีนักลงทุนจับตาการทำวินโดว์ เดรสซิ่งของนักลงทุนสถาบัน
.
แต่คำถามและข้อสงสัยจากนักลงทุนก็คือโอกาสที่จะเกิดมากน้อยเพียงใดและมีหุ้นตัวใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์การทำวินโดว์ เดรสซิ่งบ้างนั้น ทาง Wealthy Thai จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลและมุมมองจากนักวิเคราะห์มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านในวันนี้
.
โดยนักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้มุมมองว่า การทำวินโดว์ เดรสซิ่งของนักลงทุนสถาบันในไตรมาส 1/66 มีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างสูง เนื่องจากผลงานของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันติดลบราว 5% ขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบันจะมีการทยอยขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ จึงต้องมีการตกแต่งผลงานให้ดูดี เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อกองทุนดังกล่าว
.
นอกจากนี้นักลงทุนสถาบันยังมีศักยภาพทางด้านการเงินที่จะทำวินโดว์ เดรสซิ่งได้ เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านี้ได้มีแรงขายออกไปค่อนข้างเยอะก่อนที่จะกลับเข้ามาทยอยสะสมจนเป็นซื้อสุทธิต่อเนื่อง จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้โอกาสเกิดการทำวินโดว์ เดรสซิ่งสูงมากขึ้น
.
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นที่จะถูกการทำวินโดว์ เดรสซิ่ง จะต้องเป็นหุ้นที่สร้างอิทธิพลให้แก่พอร์ตลงทุนและมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วย SCGP ,PTTEP ,KBANK ,CPALL ,AOT ,SCC และ CPN ที่มีโอกาสจะได้เห็นการทำวินโดว์ เดรสซิ่ง
.
ทั้งนี้ในช่วงอดีตที่ผ่านมา โดยปกติจะไม่ค่อยได้เห็นการทำวินโดว์ เดรสซิ่งในไตรมาส 1/66 ของนักลงทุน เนื่องจากมีกระแสเงินจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันเข้ามาค่อนข้างสูง และผลงานของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีจะค่อนข้างดี จึงทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำวินโดว์ เดรสซิ่ง
.
โดย SCGP บทวิเคราะห์ของบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 56 บาท โดยคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1/66 จะอยู่ที่ 1 พันล้านบาท ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 4/65 ตามปริมาณขายรวมฟื้นตัวหลังภาคการผลิตจีนและอาเซียนเริ่มฟื้นตัว และอัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัวหลังต้นทุนในการผลิตปรับตัวลง โดยกำไรสุทธิทั้งปี 2566 ประเมิน ที่ 6.59 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 14%
.
ขณะที่ PTTEP บทวิเคราะห์ของบล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 174 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน จากราคาขายของแก๊สที่ยังคงทรงตัวในระดับสูงและการปรับตัวลดลงของต้นทุนต่อหน่วย ส่วนทั้งปี 2566 ประเมินกำไรสุทธิที่ 6.26 หมื่นล้านบาท
.
ด้าน KBANK บทวิเคราะห์ของบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 187 บาท โดยผลประกอบการในไตรมาส 1/66 จะฟื้นตัวต่อจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/65 และจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ จากการตั้งสำรองที่จะผ่อนคลายลงต่อเนื่อง ซึ่งประเมินกำไรสุทธิทั้งปี 2566 ที่ 4.81 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 34%
.
พร้อมกันนี้บทวิเคราะห์ของบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อสะสม” CPALL และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 66 บาท สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/66 มีแนวโน้มกลับมาโตจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน ด้วยการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมยังเป็นบวกมากกว่า 5% จากปีก่อนหน้า เพราะมีหลายเทศกาลที่ช่วยหนุนกำลังซื้อและได้แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นต่อเนื่อง ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้นชั่วคราวในไตรมาส 4/65 จะกลับมาเป็นปกติ จึงคาดกำไรทั้งปี 2566 ที่ 1.77 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 33%
.
ส่วน AOT บทวิเคราะห์ของบล.พาย ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 78 บาท โดยผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/23 จะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องจากไตรมาส 1/66 ตามจำนวนผู้โดยสารที่ยังคงเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเมินกำไรสุทธิทั้งปี 66 ที่ 1.08 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 1.10 หมื่นล้านบาท
.
ขณะที่ SCC บทวิเคราะห์ของบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อสะสม” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 330 บาท สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/66 จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจปิโตรเคมี รวมถึงบรรจุภัณฑ์ จะได้แรงหนุนจากการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ผ่านการลด RRR ของธนาคารกลางจีนที่จะมีผลตั้งแต่ 27 มี.ค. คาดกำไรสุทธิทั้งปี 2566 ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 43%
.
สุดท้าย CPN บทวิเคราะห์ของบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 69.25 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 จะเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการฟื้นตัวของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะศูนย์การค้าและโรงแรม ที่ได้แรงหนุนจากโครงการช้อปดีมีคืนและการเร่งตัวขึ้นของนักท่องเที่ยว จึงคาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 11%