เป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ คือ :
1)อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ( GDP Growth Rate )
2) อัตราการว่างงาน ( Unemployment Rate )
3) อัตราเงินเฟ้อ ( Price Stability )
4) การกระจายรายได้ ( Income Distribution )
และ
5) การรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม (
Environmental Protection )
1) เป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคข้อที่ 1) เรื่องอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ( GDP Growth Rate ) : GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product คือมูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศในช่วงเวลา 1 ปีโดยคํานวนจาก :
GDP = C+I+G+( X-M )เ
C = Consumption คือการบริโภคของภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป
I = Investment คือการลงทุนภาคเอกชน
G = Government Spending คือการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
X-M = Net Export คือมูลค่าการส่งออกสินค้าสุทธิ
หมายเหตุ : 1.1) GDP ประเทศไทยเคยโตเกิน 10% อย่างต่อเนื่องระหว่างปี พ.ศ. 2531-2533
1.2) GDP ประเทศญี่ปุ่นเคยโตต่อเนื่องเฉลี่ย 10% ต่อ ปี เป็นเวลา 23 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1950-1973 จนกลายเป็นมหาอํานาจทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่งของโลก
1.3) GDP ประเทศจีนเคยโตเฉลี่ยเกิน 10% ต่อ ปี เป็นเวลา 33 ปีระหว่างปี ค.ศ. 1978 - 2011 และแซงหน้าเศรษฐกิจญี่ปุ่นเมื่อ ปี 2010 และกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และกําลังจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในอีกไม่ช้านี้
1.4) ปัจจุบันญี่ปุ่นและยุโรปแทบจะไม่โตเลย เพราะใช้นโยบายทางเศรษฐกิจแบบการอุดหนุน ( Subsidization ) และประชานิยมจากภาครัฐมตามลําดับ
1.5) ปัจจุบันประเทศจีนโตประมาณปีละ 5 - 6%ั
1.6) ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาโตอย่างมากก็ 3% ส่วนไทยก็คล้ายๆกับสหรัฐอเมริกา
2)เป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคข้อที่ 2 ) เรื่องอัตราการว่างงาน ( Unemployment Rate ) : ปรกติอัตราการว่างไม่ควรเกิน 5% เพราะถ้าเกิน 5% แสดงว่ามีการใช้แรงงานไม่เต็มตามกําลังการผลิตตามระดับปรกติ
3) เป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคข้อที่ 3 ) เรื่องอัตราเงินเฟ้อ ( Price Stability) :
เงินเฟ้อเกิดจาก 2 สาเหตุดังนี้คือ:
3.1) Cost Push : เกิด
จากต้นทุนการผลิต หรือการดํารงชีพสูงขึ้น เช่น ราคานํามันสูงขึ้นเป็นต้น
3.2) Demand Pull : เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดี ทําให้เกิดการจ้างงานสูง ประชาชนจึงมีกําลังจับจ่ายใช้สอย ทําให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น นโยบายการผ่อนคลายทางการเงิน ( Quantittive Easing ) และ นโยบายการอุดหนุนจากภาครัฐ ( Subsidization ) เป็นต้น
ปรกติรัฐบาลจะควบคุมเงินเฟ้อให้ไม่เกิน+/-3%
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทําให้นํามันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เงินเฟ้อแบบ Cost Push ก็ปรับต้วสูงขึ้น ทําให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามกันไป เฉพาะในสหรัฐอเมริกานอกจากเงินเฟ้อที่เกิดจาก Cost Push แล้วยังเกิดจาก Demand Pull เนื่องจากสหรัฐอเมริกาทําการอัดฉีดสภาพคล่อง ( Quantitive Easing ) อย่างมหาศาลเพราะผลกระทบจากการระบาดของ Covid-19 ( 9 Trillion USD) ทําให้ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 8.6% และในที่สุดธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก็มีแผนที่จะปรับดอกเบี้ยนโยบาย ( Fed Fed Rate ) ไปอยู่ที่ 3.5% ภายในสิ้นปีนี้จากระดับปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.75%
3.3) นโยบายของรัฐบาลที่จะทําให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ( Hyperinflaton ) คือ:
3.1.1) นโยบายพิมพ์แบงค์ เช่นที่เกิดในประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ.1923 และประเทศซิมบับเวในปี ค.ศ. 2000 เป็นต้น
3.1.2) นโยบายประชานิยม เช่นที่เกิดในประเทศอาร์เจนตินาในปี ค.ศ. 2000 และประเทศเวเนซุเอลาในปี ค.ศ. 2010 เป็นต้น
3.1.3) นโยบายการผ่อนคลายทางการเงิน ( Quantitative Easing ) เช่นที่เกิดในสหรัฐอเมริกาในช่วงที่มีการระบาดของ Covid-19 ( 5.9 Trillion USD )
3.1.4) นโยบายการอุดหนุน ( Subsidization ) เช่นที่เกิดในญี่ปุ่นหลังวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1990 เป็นต้น
เพราะนโยบายดังกล่าวข้างต้นไม่ใด้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในเชิงประสิทธิภาพ ( Efficiency ) และในเชิงประสิทธิผล ( Effectiveness ) ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเลย
4)เป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคข้อที่ 4) เรื่องการกระจายรายได้ ( Income Distribution ) :
ประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศในโลกอันประกอบไปด้วยประเทศรัสเซีย ประเทศอินเดีย และประเทศไทย ที่มีการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนที่แย่ที่สุด ทําให้เกิดการรวยกระจุก จนกระจาย ยกตัวอย่างกรณีการถือครองที่ดิน เดิมทีเดียวประเทศไทยเคยจํากัดการถือครองที่ดินต่อคน แต่ปัจจุบันกฎหมายนี้ใด้ถูกยกเลิกไป ทําให้เกิดเหตุการณ์ที่คนรวยถือครองทีดินเป็นหมื่นๆไร่ แล้วปล่อยให้ที่ดินตัวเองรกร้างว่างเปล่า ในขณะเดียวกันกับที่คนจนแทบจะไม่มีที่ดินทํากิน เป็นหน้าทึ่ของรัฐบาลที่จะตัองจัดสรรทรัพยากรในประเทศให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
5)เป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคข้อที่ 5 ) เรื่องการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม ( Envirmental Protection ) :
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือข้อตกปารีส ( Paris Protocal ) ในปี 2015 ที่เป็นข้อตกลงที่ร่วมมือกันเกือบทุกประเทศทั่วโลก เพื่อลดการใช้ Fossil Fuel เนื่องจากการใช้ Fossil Fuel เป็นการปล่อยสารคาร์บอนเข้าสู่บรรยากาศโลก ซึ่งจะไปทําลายชั้นโอโซนบนท้องฟ้า ทําให้แสงอาทิตย์ส่องโดยตรงลงมาบนโลก ทําให้โลกร้อนขึ้น แล้วไปทําให้นําแข็งขั้วโลกละลาย และในที่สุดระดับนําในมหาสมุทรก็สูงขึ้นมาท่วมพื้นดิน
ปัจจุบันมีการร่วมมือกันของรัฐบาลระหว่างประเทศซื้อคาร์บอน ( Carbon Credit) จากหน่วยงานที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่บรรยากาศโลก
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ รัฐบาลจะต้องดําเนินนโยบายที่เหมาะสม 3 ด้านด้วยกันคือ :
1) นโยบายทางด้านการคลัง ( Fiscal Policy ) : เช่นโครงการ New Deal ในสมัยประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.โรสเวลต์ ที่ทําให้เศรษกิจสหรัฐอเมริกาพลิกฟื้นจากการตกตําครั้งใหญ่หรือThe Great Depression ในปี ค.ศ. 1929 เป็นต้น และเจ้าของแนวความคิดนี้คือ เซอร์ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์
2) นโยบายทางด้านการเงิน ( Monetary Policy ) : เป็นการปรับสมดุลภาคการเงินโดยการเพิ่มดอกเบี้ย และ/หรือการทํา Quantitative Trapering และการลดดอกเบี้ย และ/หรือการทํา Quantitative Easing โดยธนาคากลาง การปรับสมดุลภาคการเงินดังกล่าวเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราเหมาะสมเช่น ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ที่ 8.6% ธนาคารกลางสหรัฐก็ต้องเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ( Fed Fund Rate ) โดยครั้งล่าสุดปรับขึ้นถึง 0.75% และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเร่งปรับดอกเบี้ยนโยบาย ( Fed Fund Rate ) ให้ไปอยู่ที่ระดับ 3.5 - 4% ภายในสิ้นปีนี้ เป็นต้น และเจ้าของแนวความคิดนี้คือ Dr. มิลตัน ฟรีดแมน
3) นโยบายทางด้านอุปทาน ( Supply Side Policy ) : เช่นการลดภาษีทั้งภาคธุรกิจและภาคบุคคลธรรมดาในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเพื่อเสริมสร้างให้มีการลงทุนและจ้างงานตามลําดับและในที่สุดก็ส่งให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความเจริญรุ่งเรืองแบบสุดๆในช่วงเวลาถัดมา เป็นต้น และเจ้าของแนวคิดนี้คือ Jude Wanniski
จุดมุ่งหมายสุดท้ายของการดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจมหภาคก็คือ การทําประชาชนโดยรวมของประเทศมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวดีขึ้น มีมาตรฐานการครองชีพดีขึ้น มีการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น และสุดท้ายก็คือก็จะทําให้ประชาชนโดยรวมมีความสุขมากขึ้น
โปรดติดตาทรายละเอียดได้ในลิ้งค์เพจด้านล่าง :
https://www.facebook.com/luncvsbitcoin