พิษเศรษฐกิจไทย : เมื่อคนไทยหลากหลายอาชีพต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลง
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์เศรษฐกิจไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กระแสเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ล้วนส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและรายได้ของคนไทยในหลากหลายอาชีพ บางคนต้องปิดกิจการ บางคนต้องปรับตัว ขณะที่บางกลุ่มยังสามารถประคองตัวอยู่ได้อย่างมั่นคง บทความนี้จะพาไปสำรวจว่าแต่ละอาชีพได้รับผลกระทบอย่างไร และพวกเขาปรับตัวอย่างไรในยุคเศรษฐกิจเปราะบางเช่นนี้
------

ธุรกิจค้าขายและบริการ : ความท้าทายที่ถาโถม
ผู้ประกอบการหลายราย โดยเฉพาะร้านค้าปลีก ร้านอาหาร คลินิกเสริมความงาม ไปจนถึงร้านวัสดุก่อสร้าง ต่างรายงานว่ารายได้ลดลงจากกำลังซื้อที่ซบเซา บางร้านเคยมียอดขายวันละหลายแสนบาท ปัจจุบันลดเหลือไม่ถึงครึ่ง ร้านอาหารบางแห่งต้องพึ่งพาลูกค้าประจำเพื่อประคองกิจการ ขณะที่บางรายถึงขั้นต้องปิดกิจการที่ทำมานานกว่าสี่สิบปี เช่น ร้านแว่นสายตาที่ขาดทุนต่อเนื่องกว่า 1 ปี
.
ธุรกิจเสริมความงามในต่างจังหวัดพบว่าลูกค้าลดลงชัดเจน เนื่องจากคนเริ่มตัดสินใจใช้จ่ายเฉพาะสิ่งจำเป็นเท่านั้น เช่นเดียวกับร้านกาแฟที่แม้ยอดขายยังโต แต่ต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานที่สูงขึ้น ก็สร้างความกังวลใจไม่น้อย
------
อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า : ปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค
ผู้ประกอบการที่ทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่ารายหนึ่งเปิดเผยว่า แม้รายได้ยังคงที่ แต่พฤติกรรมผู้เช่าเปลี่ยนแปลงชัดเจน จากเดิมที่ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ปัจจุบันกลายเป็นครอบครัวหรือพนักงานประจำที่อยู่ระยะยาวมากขึ้น บ่งชี้ว่าอัตราการซื้อบ้านลดลง คนหันมาเช่าที่อยู่อาศัยในระยะยาวมากขึ้น ผู้ให้เช่าต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้ เช่น การไม่ขึ้นค่าเช่าเพื่อรักษาผู้เช่าเดิม
------
สายอาชีพด้านกฎหมายและการเงิน : งานเยอะแต่ผลตอบแทนไม่ง่าย
อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดีและติดตามหนี้พบว่างานมากขึ้นจากจำนวนหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหนี้อสังหาริมทรัพย์และหนี้ส่วนบุคคลจากทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้คดีจะมากขึ้น แต่การตามหนี้กลับยากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากลูกหนี้รู้สิทธิทางกฎหมายมากขึ้น บางรายไม่มีทรัพย์สินให้ยึด หรือมีเจ้าหนี้หลายรายต้องเฉลี่ยกัน
ในสายงานการเงิน ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินพบว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการวางแผนมากขึ้น เนื่องจากต้องการควบคุมค่าใช้จ่าย และหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง
------
อุตสาหกรรมการผลิตและยานยนต์ : ถูกดิสรัปต์และยอดขายตก
ลูกจ้างในอุตสาหกรรมรถยนต์ได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ลดลง และต้องเผชิญกับการแข่งขันจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าราคาถูก ซึ่งเข้ามาทำลายห่วงโซ่อุปทานที่เคยแข็งแรงของไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและการแข่งขันใหม่ๆ
------
สายเทคโนโลยีและที่ปรึกษา : ยังคงมั่นคง
กลุ่มอาชีพในสาย IT และ Consultant กลับไม่ได้รับผลกระทบมากนัก หลายคนยังคงได้รับเงินเดือนและโบนัสในระดับปกติ เพราะองค์กรทั้งรัฐและเอกชนยังคงลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แม้งานจะมีมากขึ้นในอนาคต แต่ความเหนื่อยและความไม่แน่นอนก็เพิ่มขึ้นตามมา
------
สายสุขภาพ : สองด้านที่แตกต่าง
ในภาคการแพทย์ ภาครัฐมีจำนวนคนไข้ล้นระบบ แต่บุคลากรกลับไม่เพียงพอ ขณะที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะโรงพยาบาลที่พึ่งพาผู้ป่วยต่างชาติก็เผชิญกับจำนวนผู้ใช้บริการที่ลดลง ทำให้ต้องจำกัดบุคลากรและลดค่าล่วงเวลา ในทางกลับกัน แพทย์เฉพาะทาง เช่น ด้านมะเร็ง ยังมีงานอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการรักษายังมีเสถียรภาพ
------
นักลงทุน : เผชิญความผันผวน
นักลงทุนหุ้นไทยจำนวนไม่น้อยได้รับผลกระทบจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงตามงบการเงินของบริษัท แต่บางรายที่มีการกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศยังสามารถสร้างรายได้ได้ดี และบางคนเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ Passive Income เพื่อประคองตัวจากความผันผวนในตลาด
------
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ : รายได้มั่นคง แต่สวัสดิการลดลง
แม้เงินเดือนข้าราชการจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่สวัสดิการบางส่วน เช่น สิทธิการรักษาพยาบาล ถูกลดลงเพราะงบประมาณรัฐที่ตึงตัว นอกจากนี้ ผู้ที่ขายของให้หน่วยงานรัฐก็ต้องเผชิญกับต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่พุ่งสูง จนกำไรที่เคยคาดหวังกลับแทบจะหายไป
------
บทสรุป : เศรษฐกิจเปลี่ยน คนต้องปรับ
จากภาพรวมทั้งหมดจะเห็นว่า ไม่มีอาชีพใดที่ปลอดภัย 100% ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายคนต้องปรับตัวทั้งเรื่องรายได้ การใช้จ่าย และการลงทุน ความยืดหยุ่น ความรู้ และการวางแผนล่วงหน้า กลายเป็นกุญแจสำคัญในการเอาตัวรอดในยุคเศรษฐกิจเปราะบาง
.
แม้เศรษฐกิจจะโหดร้าย แต่คนไทยก็ยังไม่ยอมแพ้ หลายคนหาทางออกใหม่ คิดกลยุทธ์ใหม่ และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างมีสติและความหวังในอนาคต
ที่มา.. Business Tomorrow