ห้องเม่าปีกเหล็ก

การเล่น TFEX จะต้องเป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาวเท่านั้น

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
73 views

ท่านนักลงทุนอาจจะคิดว่า " การเก็งกําไรระยะสั้นใน TFEX " โดยใช้ข้อมูลทางเทคนิคหรือกราฟ เป็นการเก็งกําไรที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่สําหรับผู้โพสต์เองไม่มีความเชื่อเช่นนั้นและไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นโดยใช้ข้อมูลทางเทคนิคหรือกราฟเลยแม้แต่น้อย แต่ผู้โพสต์มีแผนการลงทุนใน TFEX ในระยะกลางถึงระยะยาวโดยใช้ปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น ดังนี้ คือ :

1) Long Set 50 Index Futures เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 ที่ Set Index ปิดที่ 1,634 จุด ( S50M19 ปิดที่ 1,082.4 จุดและเพื่อให้เห็นภาพแนวโน้มของ Set Index ก็เลยสมมุติว่า Set Index จะปรับตัวเป็นขาขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 ไปปิดที่ 5,000 จุด ในวันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2563 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไป ด้วยเหตุผลของการเป็นขาขึ้นของตลาดหุ้น ดังนี้ คือ :

1.1) ดอกเบี้ย Fed Fund Rate ยังเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ แต่มีนโยบายผ่อนคลายตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และถือว่าเป็นเหตุผลที่สําคัญที่สุด

1.2) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนน่าจะลงเอยกันได้ด้วยดี และได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

1.3) ราคานํ้ามันในตลาดโลกไม่แพงมากนัก

2) Short Set 50 Index Futures ที่ 5,000 จุด ในวันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2563 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไป และเพื่อให้เห็นภาพแนวโน้มของ Set Index ก็เลยสมมุติว่า Set Index จะปรับตัวเป็นลงขาหลังจากนั้นมาปิดที่ 1,634 จุด ในวันที่ 30 ธันวาคม ปี พ.ศ 2564 ด้วยเหตุผลของการเป็นขาลงของตลาดหุ้น ดังนี้ คือ :

2.1) ฟองสบู่โลกแตก เนื่องจากปัญหาหนี้สินท่วมโลก

2.2) ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2551 จนถึงปี พ.ศ 2563 ซึ่งกินเวลายาวนานถึง 12 ปี ก็น่าจะถึงเวลาที่จะเป็นขาลงบ้างตามวัฏจักรเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งหลายคราวในอดีต

สําหรับรูปแบบในการลงทุนใน TFEX อดีตมีดังนี้ คือ :

อาจจะเป็นตํานานของประเทศไทย :

1) ถ้าทําสําเร็จ กรณีนี้อาจจะเป็นตํานานของประเทศไทย ส่วนในต่างประเทศนั้นมีกรณีที่ทําสําเร็จมาแล้ว 3 กรณี คือ :

1.1) กรณีที่ 1โดย John Paulson ในปี ค.ศ 2008 โดยการทํา Short Selling Subprime Assets ในสหรัฐอเมริกาแล้วได้กําไร 15,000 ล้าน USD และถือว่าเป็นกําไรที่สูงที่สุดในโลก

1.2) กรณีที่ 2โดย George Soros ในปี ค.ศ 1992 โดยการโจมตีค่าเงินปอนด์ในอังกฤษแล้วได้กําไร 2,000 ล้าน USD 

1.3) กรณีที่ 3 Quantum Fund ระหว่างปี ค.ศ 1973 - 1980 ( 7 ปี ) โดยการเล่นฝั่ง Short ในตลาดหมีในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแล้วได้กําไร 4,200%

2) ตัวอย่างรูปแบบหรือ Model การลงทุนในสภาวะตลาดหมีและตลาดกระทิงในตลาดหุ้นไทยในอดีตมี ดังนี้ คือ :

2.1)  Short Set 50 Index Futures จาก 915 จุด ในตลาดขาลง หรือในสภาวะตลาดหมี ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ปี พ.ศ 2550 มาปิดสถานะ Short ที่ 380 จุด เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2551 ผลตอบแทนที่ได้ = ( 380 - 915 ) x 200 / 11,058 x 100 =+967.63% 

2.2) Long Set 50 Index Futures จาก 380 จุด ในตลาดขาขึ้น หรือในสภาวะตลาดกระทิง ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2551 มาปิดสถานะ Long ที่ 1,852 จุด เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ 2561 ผลตอบแทนที่ได้ = ( 1,852 - 380 ) x 200 / 11,058 x 100 = +2,262.33% 

เพราะฉะนั้น ผลตอบแทนรวม = +967.63% + 2,262.33% = +3,229.96% ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ปี พ.ศ 2550 จนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ 2561 หรือใช้เวลาเกือบ 11 ปี

3) การลงทุนใน Set 50 Index Futures แบบทิศทาง (  Directional Investment ) ในระยะยาวในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันและอนาคตเป็น ดังนี้ คือ :

3.1) ทิศทางขาขึ้น ( หรือสภาวะตลาดกระทิง )  : เป็นการลงทุนแบบทิศทางโดยการ  Long Set 50 Index Futures ที่ 1,082.4 จุดโดยตั้ง Automatic All Time Stop Lossไว้ที่ 1,065.9 จุด ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 ไปจนถึงวันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2563 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไป โดยมีระยะเวลาในการ Long ประมาณ 20 เดือน เพราะ :

3.1.1) ดอกเบี้ย Fed Fund Rate ยังเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ แต่มีนโยบายผ่อนคลายตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และถือว่าเป็นเหตุผลที่สําคัญที่สุด

3.1.2) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนน่าจะลงเอยกันได้ด้วยดี และได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

3.1.3) ราคานํ้ามันในตลาดโลกไม่แพงมากนัก

3.2) ทิศทางขาลง ( หรือสภาวะตลาดหมี ) : เป็นการลงทุนแบบทิศทางโดยการ Short  Set 50 Index Futures ตั้งแต่วันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2563 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไป ไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม ปี พ.ศ 2564 โดยมีระยะเวลาการ Short ประมาณ 14 เดือน เพราะ :

3.2.1) ฟองสบู่โลกแตก เนื่องจากปัญหาหนี้สินท่วมโลก

3.2.2) ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2551 จนถึงปี พ.ศ 2563 ซึ่งกินเวลายาวนานถึง 12 ปี ก็น่าจะถึงเวลาที่จะเป็นขาลงบ้างตามวัฏจักรเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งหลายคราวในอดีต

และรวมผลตอบแทนสูงสุดที่อาจจะเป็นไปได้คือ +14,171.10% ( +7,085.55% ขาขึ้น + 7,085.55% ขาลง ) ภายในระยะเวลาประมาณ 3 ปี โดยในปัจจุบันจนถึง ณ.วันที่  12 เมษายน ปี พ.ศ 2562 ( ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 ) ทําได้แล้ว +31.65%

หมายเหตุ : 1) Set Index อยู่ในช่วงการปรับฐานใหญ่เนื่องจากมีการปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rate ถี่และบ่อยเกินไปถึง 4 ครั้งในปี พ.ศ 2561 โดยปรับตัวลดลงมาจาก 1,852 จุด เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ 2561 มาทําจุดตํ่าสุดในรอบที่แล้วที่ 1,546 จุด เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 1,634 จุด เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562  และสุดท้ายก็มาปิดที่ 1,660 จุด เมื่อวันที่ 12 เมษายน ปี พ.ศ 2562 

                 2) ข้อมูลที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดทุกวัน คือ :

                      2.1) Down Jones 

                      2.2) Set Index

                      2.3) เฟด

                      2.4) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน

                      2.5) ราคานํ้ามัน

                      2.6) นอกนั้น เป็นข้อมูลขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง เลยไม่จําเป็นต้องสนใจมากให้เสียเวลา

                 3) แหล่งของข้อมูล :

                     3.1) @realDonaldTrump

                     3.2) ( www.cnbc.com )

                     3.3) ( www.bloomberg.com )

                     3.4) ( www.settrade.com )

                     3.5) ( www.set.or.th )

                     3.6) นอกนั้น เป็นแหล่งข่าวขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง เลยไม่จําเป็นต้องสนใจมากให้เสียเวลา

                 4) โปรดติดตามการ Long และ Short Set 50 Index Futures ในระยะยาวได้ใน longtunbysak.blogspot.com

 

                  

 

 


ศักดิ์