ทุนต่างชาติชะลอลงทุน ห่วงเสถียรภาพรัฐบาล
หวั่นเสถียรภาพรัฐบาลกระทบฟันด์ โฟลว์ หลังไหลออกตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน 3 แสนล้านบาท คาดไหลกลับหลังฟอร์มทีมรัฐบาล พฤษภาคมนี้ โบรกฯ มองตลาดหุ้นยังขึ้นต่อแรงหนุนจากนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิแล้ว 3.5 หมื่นล้านบาท โฟกัสหุ้นใหญ่กลุ่มรับเหมา ไฟฟ้า ท่องเที่ยว และพาณิชย์
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่าผลการเลือกตั้ง ที่ออกมาแม้พรรคพลังประชารัฐจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีเสียงเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย ก็มีความเสี่ยงในเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองได้ในอนาคต
“สำคัญที่สุดอยู่ที่เสถียรภาพของรัฐบาล เพราะ 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลมีเอกภาพมาก เนื่องจากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวและไม่มีฝ่ายค้าน แต่ 4 ปีจากนี้จะไม่ง่ายเหมือนเดิม โดยเฉพาะหากฝ่ายค้านมีเสียงจำนวนมาก หรือน้อยกว่ารัฐบาลไม่มากนัก การผลักดันนโยบายสำคัญๆ ของรัฐบาลจะไม่ง่ายนัก”
สำหรับมุมมองนักลงทุนต่างชาตินั้น จากเดิมที่คาดไว้หากเลือกตั้งสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพ เงินต่างชาติน่าจะไหลเข้า 1 แสนล้านบาท ซึ่งคำว่าเสถียรภาพที่กล่าวไว้คือรัฐบาลต้องมีเสียงเกิน 300 ที่นั่งขึ้นไป แต่หากจำนวนที่นั่งใกล้กันมากอาจเริ่มมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพ อย่างไรก็ตามหุ้นไทยยังลงทุนได้ เนื่องจากราคายังไม่แพงและยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะเศรษฐกิจยังโตต่อได้โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคเอกชน โครงการขนาดใหญ่ของรัฐยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนดัชนีหุ้นไทยปี 2562 ประเมินไว้ที่ 1750-1800 จุด
นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ฯ กล่าวว่าหากไม่มีปัจจัยลบภายนอก ทั้งในเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่คาดการเจรจาบรรลุข้อตกลงอย่างเร็วน่าจะเป็นเดือนเมษายน เรื่องเศรษฐกิจโลก (สหรัฐฯ ยุโรป จีน ฯลฯ) ชะลอตัว และเรื่องที่สหรัฐฯจะเก็บภาษีในยุโรปที่อาจเป็นผลกระทบถัดไป แรงขับเคลื่อนยังมาจากภายในรวมถึงการเลือกตั้งที่ตอบสนองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น แม้จะมีประเด็นในเรื่องเสถียรภาพแต่การได้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งย่อมดีกว่า โดยจับตากันว่าพรรคที่แพ้จะยอมรับผลเลือกตั้งอย่างสุภาพบุรุษหรือไม่ เพราะไม่แล้วอาจจะมีผลกระทบเรื่องม็อบปากท้องแม้จะไม่รุนแรงก็ตาม และฝั่งที่เป็นรัฐบาลเสียงเกินกึ่งมามากน้อยแค่ไหน
โดยคาดว่าทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะไหลกลับเข้าไทยหลังการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เนื่องจากเม็ดเงินที่ไหลออกตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปัจจุบันมากกว่า 3 แสนล้านบาท จึงไม่น่าจะไหลออกมากกว่านี้ ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยนับจากนี้ถึงเดือนพฤษภาคม คาดจะปรับตัวขึ้น 7 -10% บล.ไทยพาณิชย์ฯยังคงเป้าหมาย SET Index ปีนี้ที่ 1700-1800 จุด เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มใหญ่ ได้แก่หุ้นกลุ่มรับเหมา, ท่องเที่ยว และกลุ่มพาณิชย์
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส(ASP) กล่าวว่านับตั้งแต่กลางปี 2556 ถึงปัจจุบัน ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิแล้วกว่า 6 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติจากที่เคยอยู่ระดับกว่า 30% มา ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 อยู่ที่ 22.66% ของมูลค่าตลาด (ไม่รวม NVDR ) ถือเป็นการลดลงอย่างรุนแรง ดังนั้นการจะไหลออกจะจำกัดแล้ว ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดส่งสัญญาณว่าปีนี้จะไม่ขึ้นดอกเบี้ย กดดันให้พันธบัตร (bond yield ) 10 ปีสหรัฐฯปรับลงแรงมาอยู่ 2.4% ต่ำสุดในรอบ 14 เดือนและต่ำกว่าบอนด์ยีลด์ 10ปีของไทยที่ 2.58% โดยส่วนต่างที่ติดลบ ถือเป็นเกาะป้องกันฟันด์โฟลว์ไหลออกจากไทย และด้วยผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่อยู่ระดับต่ำ จึงน่าจะดึงเม็ดเงินกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะหลังเห็นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ชัดเจน โดยสัดส่วนต่างชาติที่ถือหุ้นไทยปีนี้คาดว่าจะกลับมาเพิ่มเป็น 25 % ได้
ทั้งนี้คาดดัชนีหุ้น เป้าหมายปีนี้จะอยู่ที่ 1705 จุด โดยอิง PE 16 เท่า และ EPS ที่ 106.58 บาทต่อหุ้น แต่กรณี best –case scenario รัฐบาลมีเสถียรภาพ ได้มากกว่า 300 ที่นั่ง SET Index มีโอกาสปรับขึ้น 1,811 จุด อิง PER ที่ 17 เท่า ส่วนกรณี worst-case scenario คือการเมืองไม่สามารถผ่านจากรัฐบาลทหาร ไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ SET Index อาจปรับลงอยู่ที่ 1,598 จุด หรืออิง PER 15 เท่าแต่เชื่อว่ากรณีนี้มีโอกาสน้อย
นายพีระสิทธิ์ จิวะพงศ์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์สถาบัน เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ทางด้านนักลงทุนสถาบัน กล่าวว่าตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา นักลงทุนสถาบันซื้อหุ้นแล้วประมาณ 35,000 ล้านบาท และตั้งแต่กกต.ประกาศวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 มกราคม นักลงทุนสถาบันซื้อต่อเนื่องก่อนจะอยู่ในโหมด wait & See ช่วงก่อนการเลือกตั้งและเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 มี.ค.) จึงกลับเป็นซื้อสุทธิ 3,238 ล้านบาท
“หากนับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ นักลงทุนต่างชาติยังระมัดระวังตัวมีการขายออกมาประมาณ 19,000 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันซื้อประมาณ 17,000 ล้านบาท เพิ่งเร่งซื้อช่วงก่อนวันเลือกตั้ง 2-3 วันที่ผ่านมา ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งหากหุ้นลง เชื่อว่าจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ โฟกัส 6-12 เดือนข้างหน้าในหุ้นที่มีความปลอดภัยสูง เช่น หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ท่องเที่ยว และค้าปลีก”
บล.เมยแบงก์ฯ ประเมินดัชนีหุ้นไทยสิ้นเดือนมีนาคม ยังแกว่งตัวกรอบ 1620-1680 จุด อนึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-25 มี.ค.) นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 34,149 ล้านบาท, นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 12,892.16 ล้านบาท, บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 1,662 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 22,918 ล้านบาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก