30 สิงหาคม 2565 ครบรอบ 92 ปี "วอร์เรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนเน้นคุณค่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
และนี่คือ 10 เรื่อง ที่คุณอาจจะยังไม่รู้ เกี่ยวกับบัฟเฟตต์
.
.
1. บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นครั้งแรกท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1942 ซึ่งเขามีอายุเพียง 11 ขวบ หลังจากนั้นอีก 3 ปี สงครามถึงจบลง
เด็กอายุ 11 ขวบ ส่วนใหญ่มักจะเล่นกีฬา อ่านหนังสือการ์ตูน แต่ไม่ใช่สำหรับบัฟเฟตต์ เพราะเขาเริ่มต้นซื้อหุ้นเป็นครั้งแรก นั้นคือ Cities Service (CITGO) ในราคา 38 เหรียญ และขายมันทันทีที่ 40 เหรียญ ก่อนที่จะวิ่งไปที่ 200 เหรียญ
ครั้งนั้นนับว่าเป็นการขายหมูครั้งแรกในชีวิตของเขา
.
.
2. หาเงินล้านบาทแรกได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี
ว่ากันว่าล้านแรก เป็นเงินที่หายากที่สุด แต่คงไม่ใช่สำหรับบัฟเฟตต์ เพราะเขาสามารถหาเงินได้ต้ังแต่อายุ 16 ปี
เงินล้านแรกของเขาไม่ได้มาจากการ "เล่นหุ้น" แต่มาจากการทำงานอย่างหนักและเริ่มต้นลงทุนในธุรกิจ "เกม" บัฟเฟตต์ ทำงานตั้งแต่รับจ้างล้างรถ ส่งหนังสือพิมพ์ ขายน้ำส้ม รับจ้างเก็บลูกกอฟท์ สะสมแสตมป์ และเงินที่เขาหามาได้ เขาเอามาลงทุนใน "ตู้เกมพินบอล" ...
ภายหลังเขาออกมายอมรับว่า ธุรกิจตู้เกมพินบอล คือ ธุรกิจที่ดีที่สุดที่เขาเคยลงทุนมาเลย ...
.
.
3. เคล็ดลับอายุยืนของบัฟเฟตต์ คือ ดื่มโค๊กวันละ 5 กระป๋อง
ครั้งหนึ่งเคยมีนักข่าวถามบัฟเฟตต์ ว่า ทำอย่างไรให้อายุยืน
บัฟเฟตต์ตอบว่า "ผมดื่มโค๊กวันละ 5 กระป๋อง" ...
ก่อนจะออกมายอมรับภายหลังว่า เขาเคยเห็นสถิติอัตราการตายต่ำสุดจะเกิดขึ้นกับเด็กอายุ 6 ขวบ
ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ถ้าเขากินเหมือนเด็กอายุ 6 ขวบ เขาก็น่าจะอายุยืน แล้วเด็กอายุ 6 ขวบ กินอะไรบ้างล่ะ ? ก็มีน้ำอัดลม มันฝรั่งทอด แล้วก็ไอศกครีม ...
เขาก็เลยจัดโค๊ก 1 กระป๋องในตอนเช้า ที่ทำงานอีก 1 กระป๋อง บางทีก็ 2 กระป๋องบ้าง
กลับมาถึงบ้านจำไม่ได้ว่ากินโค๊กไปหรือยัง ก็จัดเพิ่มอีก รวมๆแล้วน่าจะประมาณ 5 กระป๋องต่อวันได้ (มั้ง)
.
.
4. ในปี 2013 บัฟเฟตต์ทำเงินจากตลาดหุ้นได้วันละพันล้านบาท
ต้นปี 2013 ทรัพย์สินของบัฟเฟตต์ มีอยู่ราวๆ 4.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ พอจบปี ทรัพย์สินก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
นั้นหมายความว่าบัฟเฟตต์ ทำเงินจากตลาดหุ้นได้วันละ 37 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ "พันล้านบาท" ต่อวัน
อันนี้คิดเฉพาะราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ถ้านับเงินปันผลด้วยน่าจะมากกว่านั้น
.
.
5. จุดพลิกชีวิตการลงทุนของเขา คือ การได้เรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กับเบนจามิน เกรเฮม และเดวิด ดอร์ด
หลังจบจากมหาวิทยาลัยเนบราสก้า เขาก็มุ่งไปเรียนต่อบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ก็โดนปฏิเสธ
โชคดีที่วันนั้น เขาเจอคู่มือแนะนำมหาวิทยาลัยแล้วเปิดไปหน้าของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย พบชื่อของสองบุคคลที่เขาชื่นชอบมาก คือ เบนจามิน เกรเฮม และเดวิด ดอร์ด เขาจึงไม่รอช้ารีบเขียนจดหมายทันที ...
เขาออกมาเปิดเผยว่า ด้วยความรีบ เขาจำไม่ได้ว่าเขียนอะไรลงไปบ้างแต่มันดูตลกและไม่เป็นทางการเอามากๆ
"สวัสดีอาจารย์ทั้งสอง ผมเป็นแฟนตัวยงหนังสือ Security Analysis ที่อาจารย์ทั้งสองเป็นผู้เขียน
ตอนแรกผมนึกว่าพวกท่านตายไปแล้ว หรืออยู่บนยอดเขาโอลิมปัสคอยเฝ้ามองเราอยู่ห่างๆเสียอีก ถ้าพวกคุณรับผมเข้าเรียน ผมคงยินดีมากๆ ... รักนะ"
.
.
6. ทรัพย์สินของบัฟเฟตต์กว่า 99% มาจากตอนที่เขาอายุ 52 ปีขึ้นไปแล้ว
บัฟเฟตต์ คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จสุงมากตั้งแต่เขาอายุยังไม่ถึง 50 ปี ตอนที่เขาอายุเพียง 52 ปี เขามีทรัพย์สินอยู่ราวๆ 376 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่พอเขาอายุ 89 ปี เขามีทรัพย์สินมากถึง 8.17 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
พูดง่ายๆ คือ ทรัพย์สินของบัฟเฟตต์กว่า 99% มาจากตอนที่เขาอายุ 52 ปีขึ้นไปแล้ว
.
.
7. เคล็ดลับการประสบความสำเร็จของบัฟเฟตต์ คือ การอ่าน
รู้หรือไม่ว่า ในแต่ละวัน บัฟเฟตต์ใช้เวลากว่า 80% ไปกับการอ่าน
ตื่นนอนมา เขาแปรงฟัน และเริ่มต้นอ่านหนังสือพิมพ์
ช่วงกลางวัน เขาอ่านรายงานประจำปีบริษัทอยุ่ในออฟฟิศ
ก่อนจะนอน เขามักจะหยิบหนังสือมาอ่านประมาณ 500 หน้า
เขาออกมายอมรับว่า การอ่านเหมือนดอกเบี้ยทบต้น ยิ่งอ่านมากเราก็ยิ่งรู้มาก และความรู้เราจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจากการอ่าน ...
.
.
8. บัฟเฟตต์ได้ไอเดียในการซื้อหุ้น Apple มาจากเด็กข้างบ้าน
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จของบัฟเฟตต์ เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีหุ้น Apple อย่างแน่นอน
ไอเดียการลงทุนในหุ้น Apple มาจากการที่เขาพาเด็กแถวบ้านประมาณ 12 คน ไปกินไอศกรีมแดรี่ควีน เขาทำแบบนี้เป็นประจำในทุกๆวันอาทิตย์ แน่นอนว่าเขาถือหุ้นแดรี่ควีนอยู่ด้วย
มีอยู่วันหนึ่ง เขาพบว่าเด็กๆให้ความสนใจไอกล่องเหลี่ยมๆบางๆ ใช้นิ้วรูดไปรูดมา มากกว่าสนใจแดรี่ควีนของเขา เขาจึงถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร เด็กๆพร้อมใจกันตอบว่ามันคือ "ไอโฟน"
บัฟเฟตต์ จึงมองว่าเด็กๆทุกคนติดไอโฟนไปแล้ว และถ้าคนติดอะไรสักอย่างหนึ่ง แสดงว่ามันจะต้องดีแน่ๆ และผู้คนก็รักมัน จากวันนั้น เขาก็เริ่มต้นศึกษาหุ้น Apple แบบจริงๆจังๆ
.
.
9. ถ้าบัฟเฟตต์ ไม่มี Berkshire Hathaway เขาอาจจะรวยกว่านี้
ครั้งหนึ่งวอเร็น บัฟเฟตต์ ยอมรับว่าการเข้าซื้อ Berkshire Hathaway คือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของเขา
แต่เดิม Berkshire Hathaway คือบริษัทสิ่งทอที่ใกล้ล้มละลาย และราคาหุ้นก็ถูกมากๆ ด้วยราคาถูก บัฟเฟตต์ เลยเข้าซื้อและหวังว่ามันจะกลายมาเป็นหุ้นพลิกฟื้นได้ แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น
เขาซื้อจนมีอำนาจควบคุมบริษัท เขาจึงปรับโครงสร้างองค์กร เลิกธุรกิจสิ่งทอและทำเป็น Holding Company แทนจนมาถึงปัจจุบัน บัฟเฟตต์ เลยได้ประสบการณ์ว่า หุ้น Turn Around มีน้อยครั้งนักที่มันจะ Turn Around ได้จริงๆ ...
.
.
10. คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนสำหรับคนทั่วไปของบัฟเฟตต์ คือ ลงทุนใน Index Fund
บัฟเฟตต์ มักจะเน้นย้ำเสมอว่าสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความชำนาญทางด้านการลงทุนมากนัก ควรจะลงทุนในกองทุนอิงดัชนี Index Fund ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
