ห้องเม่าปีกเหล็ก

สูตรการลงทุนแห่งความสูญเสีย สูตรที่ 3 และ สูตรสุดท้าย

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
69 views

                 

                ใช้สูตร "The Foolish Four"

                 ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 เวบไซต์ (และหนังสือ) ของ Motley Fool ได้นำเสนอเทคนิคที่เรียกว่า "The Foolish Four" จากคำกล่าวอ้างของ Motley Fool  คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมาและสามารถบดขยี้กองทุนรวมของคุณโดยใช้เวลาวางแผนการลงทุนเพียงปีละ 15 นาทีเท่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ เทคนิคนี้มีความเสี่ยงต่ำมาก ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือ

  1. คัดหุ้นห้าตัวในดัชนีอุสาหกรรมดาวโจนส์ที่มีราคาหุ้นต่ำที่สุดและมีผลตอบแทนในรูปเงิน     ปันผลสูงที่สุด
  2. ตัดหุ้นที่มีราคาต่ำที่สุด
  3. ใช้เงิน 40 เปอร์เซ็นต์ลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำสุดเป็นอันดับสอง
  4. ใช้เงิน 20 เปอร์เซ็นต์ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวที่เหลือ
  5. อีกหนึ่งปีต่อมาให้ทำแบบเดิม และจัดพอร์ตตามขั้นตอนที่ 1 ถึง 4 ใหม่
  6. ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนรวย

            Motley Fool อ้างว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปี เทคนิคนี้สามารถเอาชนะตลาดได้ 10.1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี พวกเขาระบุว่าตลอดช่วงสองทศวรรษหน้า  เงินจำนวน 20,000 ดอลลาร์จะกลายเป็น 1,791,000 ดอลลาร์ ( พวกเขายังบอกด้วยว่าผลตอบแทนของคุณจะดียิ่งขึ้น หากคุณคัดหุ้นห้าตัวในดัชนีดาวโจนส์ซึ่งมีอัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนในรูปเงินปันและสแควร์รู้ตของราคาหุ้นสูงที่สุด  จากนั้นก็ตัดหัวที่มีคะแนนสูงสุดทิ้งไปและซื้อหุ้นสี่ตัวที่เหลือ)

            ลองมาดูกันว่า "กลยุทธ์" นี้เข้าคำนิยามการลงทุนของเกรแฮมหรือเปล่า

  • การตัดหุ้นที่มีราคาและเงินปันผลน่าดึงดูดใจที่สุดทิ้งไปแล้วซื้อหุ้นสี่ตัวที่เหลือซึ่งมีคะแนนต่ำกว่า มี "การวิเคราะห์อย่างละเอียด" อะไรมารองรับ ?
  • การนำเงินในสัดส่วนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ไปซื้อหุ้นเพียงตัวเดียวมี "ความเสี่ยงต่ำ"

ได้อย่างไร ?

  • พอร์ตซึ่งมีหุ้นเพียงสี่ตัวจะมีการกระจายความเสี่ยงมากพอที่จะ "ปกป้องเงินต้น"ได้อย่างไร ?

            สรุปก็คือ เทคนิค The Foolish Four เป็นสูตรการเลือกหุ้นที่มั่วที่สุดเท่าที่เคยมีการคิดค้นกันมา Motley Fool ทำผิดพลาดแบบเดียวกับโอชองเนสซีในแง่ที่ว่า ถ้าคุณพิจารณาข้อมูลจำนวนมหาศาลยาวนานเพียงพอ รูปแบบหลายหลากจะปรากฏขึ้น บรรดาหุ้นที่ได้ผลตอบแทนสูงจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนๆกันโดยบังเอิญ  อย่างไรก็ตาม หากปัจจัยเหล่านั้นไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้หุ้นสามารถสร้างผลตอบแทนสูงๆ พวกมันก็จะไม่สามารถถูกนำไปใช้คาดการณ์ผลตอบแทนในอนาคตได้

            ปัจจัยทั้งหมดที่ Motley Fools โอ้อวดว่าค้นพบไม่ว่าจะเป็นการตัดหุ้นที่ได้คะแนนสูงสุดออกไปการใส่เงินลงทุนสูงเป็นสองเท่าในหุ้นที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับสอง การหารผลตอบแทนในรูปเงินปันผลด้วยสแควร์รู้ตของราคาหุ้นไม่ได้เป็นสาเหตุหรือเป็นสิ่งที่สามารถนำมาอธิบายผลตอบแทนในอนาคตของหุ้นได้เลย นิตยาสาร Money พบว่า พอร์ตโฟลิโออันประกอบไปด้วยหุ้นที่ในชื่อไม่มีตัวอักษรซ้ำกันเลยก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้พอๆกับพอร์ตที่ใช้เทคนิค The Foolish Four มันเป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ เกรแฮมได้ย้ำเตือนพวกเราอย่างไม่หยุดหย่อนว่า ราคาหุ้นจะดีหรือไม่ดีจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของธุรกิจ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
            แน่นอนว่าแทนที่ The Foolish Four จะเอาชนะตลาดมันกลับไปบดขยี้ผู้คนนับพันนับหมื่นที่โง่เขลาหลงเชื่อไปว่าการใช้เทคนิคนี้เป็นการลงทุน เฉพาะในปี ค.ศ 2000 เพียงปีเดียว หุ้น The Foolish Four คือ Caterpillar, Eastman Kodak, SBC และ General Motors ตกลง 14 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ลดลงเพียง 4.7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

            ตัวอย่างข้างต้นได้ชี้ให้เห็นว่า  สิ่งเดียวที่ไม่เคยสาบสูญไปในวอลล์สตรีทก็คือ แนวคิดโง่ๆ

แนวทางการลงทุนแต่ละอย่างเหล่านี้เทียบไม่ได้กับกฎของเกรแฮม สูตรลัดในการสร้างผลตอบแทนสูงๆพวกนี้เป็นกระบวนการทำลายล้างตัวเองชนิดหนึ่งคล้ายๆกับกฎผลตอบแทนที่ลดลงมีเหตุผลสองข้อที่ทำให้ผลตอบแทนหายวับไป ถ้าสูตรที่ว่าอยู่บนพื้นฐานของความบังเอิญทางสถิติ (อย่าง The Foolish Four) เวลาที่ผ่านไปจะแสดงให้เห็นว่า พวกมันไร้เหตุผลตั้งแต่ตอนเริ่มแรก (อย่างปรากฏการณ์

January effect) การป่าวประกาศออกมา จะทำให้ใครๆก็หันมาใช้สูตรดังกล่าว  จนทำให้ผลตอบแทนดังว่าไม่หลงเหลือให้เก็บเกี่ยวอีกต่อไป

            ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นตอกย้ำถึงคำเตือนของเกรแฮมที่ว่า คุณต้องมองการเก็งกำไรในลักษณะเดียวกับที่นักพนันมืออาชีพมองการเดิมพันในกาสิโนของพวกเขา

  • คุณต้องไม่หลอกตัวเองว่า คุณกำลังลงทุนทั้งๆที่คุณกำลังเก็งกำไรอยู่
  • การเก็งกำไรจะมีอันตรายถึงตาย ในวินาทีที่คุณคิดจริงจังกับมัน
  • คุณต้องจำกัดจำนวนเงินที่จะนำมาเก็งกำไร

             

            นักพนันผู้มีเหตุผลอาจจะนำเงินเพียงแค่ 100 ดอลลาร์มาดิมพันในกาสิโน และเก็บเงินที่เหลือไว้ในเซฟ เฉกเช่นเดียวกัน นักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะกันเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับขนาดของพอร์ตมาทำการเก็งกำไร สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ เงินในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ของความมั่งคั่งทั้งหมดเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่สามารถนำมาเก็งกำไรได้  จำไว้ว่า อย่านำเงินเก็งกำไรมาผสมปนเปกับเงินที่ใช้ในการลงทุน อย่าปล่อยให้ความคิดการเก็งกำไรมาส่งผลต่อการลงทุนของคุณ และอย่าใช้เงินเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินทั้งหมดที่คุณมีอยู่มาเก็งกำไรไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

            จะดีหรือไม่ดี สัญชาตญาณการเดิมพันก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์  ดังนั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ การกดมันไว้จึงเป็นเรื่องไร้ผล อย่างไรก็ตามคุณต้องมีความยับยั้งชั่งใจ  เพราะนั้นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะไม่ทำตัวโง่ๆและสับสนระหว่างการลงทุนและการเก็งกำไร

            หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก The Intelligent Investor แต่งโดย Benjamin Graham

                             2) โปรดติดตามการลงทุนตามโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท ตามแบบฉบับการลงทุนแบบวัฏจักรของ Warren Buffett และ Peter Lynch และการเก็งกัาไรโดยการ Long Derivatives ในช่วงเริ่มต้นจนถึงช่วงกลางของตลาดกระทิงตามแบบฉบับการเก็งกําไรของ George Soros และ Jim Rogers ได้ที่ longtunbysak.blogspot.com

 

     


ศักดิ์