ห้องเม่าปีกเหล็ก

สัญญาณแห่ง "ดอย"

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
59 views

ใครๆก็อยากรู้ว่าหุ้นจะ "พีค" เมื่อไร เพราะถ้าเรารู้จะได้ชิงขายไปก่อนเพื่อที่จะไม่ดอย รวมถึงมีโอกาสถือเงินสดไปช้อนซื้อข้างล่าง
... นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นประโยคในฝันของนักลงทุนทุกคน แต่การจะวิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นใกล้จะถึงจุดสูงสุดไปแล้วหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก และไม่มีใครรู้มาก่อนเลย เราอาจจะเห็นเซียนหลายคนที่ออกมาคาดเดาตลาดว่าจะไปทางนั้นหรือกำลังจะลง และถ้าเขาเดาได้ถูกเขาก็จะกลายเป็น "กูรู" ในวงการที่มีคนนับหน้าถือตามากมาย
จากประสบการณ์ที่เคยเห็น ถ้าเขาเดา "ได้ถูก" เขาก็จะกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียง เวลาพูดอะไรหรือ "ทวิตข้อความ" ลงในโซเชียลก็จะมีคนมาติดตามมากมาย หรือบางครั้งอาจจะเข้าขั้นชี้นำตลาดได้ไม่ยาก
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขา "เดาผิด" เขาก็แค่อยู่เงียบๆ และเดาต่อในครั้งหน้า เพื่อว่าจะมีสักครั้งที่จะเดาได้ถูก

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าไม่มีใครรู้ "สัญญาณแห่งดอย" แต่เราก็พอจะมีวิธีสังเกตมันได้อยู่บ้าง
นี้เป็น 6 ข้อ ที่เป็นสัญญาณว่าหุ้นได้เข้าใกล้ "จุดพีค" หรือจุดสูงสุดเข้าไปทุกที และถ้าเรายังอยู่ในฝั่งซื้อก็อาจจะติดดอยได้

 

1. นักลงทุนส่วนใหญ่มองหา "Growth" มากกว่าที่จะคิดถึง "Value"
ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นมาอย่างยาวนาน หุ้นเติบโตมักจะวิ่งได้เร็วและแรงกว่าหุ้นคุณค่าที่ราคาไม่แพง นักลงทุนมักจะคิดว่าซื้อหุ้นคุณค่าทำให้พอร์ตไม่โต เพราะราคาหุ้นไม่วิ่ง สิ่งที่นักลงทุนจะได้คือคุณค่าและปันผลอย่างเดียว ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอนักสำหรับนักลงทุนที่ชอบหาความตื่นเต้น และอยากจะรวยเร็ว

นักลงทุนสามารถสังเกตได้จากค่า P/E Ratio ที่สูงขึ้นมาก ตามตำราบอกไว้ว่า P/E ไม่ควรเกิน 15 เท่า แต่ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป การพิมพ์เงินมหาศาลและสภาพคล่องที่ล้นระบบ อาจจะยอมให้ค่า P/E สูงแตะระดับ 25-30 เท่าได้ แต่ดูเหมือนว่าหุ้นหลายๆตัวจะมีค่า P/E ไกลกว่านั้น อาจจะสูงถึง 50 เท่า 80 เท่า หรือแม้แต่ 100 เท่า ก็ยังมีให้เห็น

แน่นอนการซื้อหุ้นโดยมองแค่ค่า P/E อย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอเพราะการลงทุนมีประโยชน์หลายอย่าง แต่การซื้อหุ้นที่แพงเกินไป มันก็มีโอกาสสูงที่เราจะ "ติดดอย" ได้นั้นเอง โดยเฉพาะหุ้นที่มีการเติบโตสูง เพราะไม่ช้าก็เร็วมันก็อาจจะมี "อะไรบางอย่าง" มากดดันหุ้นเหล่านั้นไม่ให้เติบโตเร็วจนเกินไป สุดท้ายราคาหุ้นก็จะลงเพราะนักลงทุนผิดหวัง

 

2. ความนิยมในหุ้น IPO
นี้เป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดเจนมากในตลาดหุ้นไทย เมื่อใดก็ตามที่นักลงทุน Bullish ในหุ้น IPO และพร้อมจะซื้อทุกตัวที่ขวางหน้า มันก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดหุ้นนั้นกำลังจะถึงจุดสูงสุด
จะมีหุ้น IPO จำนวนมากออกมา "ลิสต์" ในตลาด และนักลงทุนก็ให้การตอบรับอย่างดี วันเปิดเทรดวันแรกราคาหุ้นไปเป็นเท่าๆ ปรับตัวสูงขึ้นมาก

นักลงทุนโดยทั่วไปอาจจะมองว่ามันดี เพราะมีวิธีการทำเงินง่ายๆอยู่
แต่สำหรับนักลงทุนที่มากประสบการณ์แล้ว เป็นความรู้สึกที่ "กังวล" เพราะตลาดหุ้นไทยกำลังจะพีค และไม่ช้าก็เร็วจะร่วงลง ซึมไปอีกหลายเดือนกว่าจะกลับมาได้อีกครั้ง

ดังนั้น เวลาเมื่อเราเห็นหุ้น IPO กำลังคึกคัก มันก็อาจจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดี เป็นสัญญาณแห่งดอยที่นักลงทุนมากประสบการณ์จะต้องระมัดระวังให้มาก ไม่ใช่ไปเข้าร่วม

 

3. หุ้นเล็ก - หุ้นใหญ่
หลายๆครั้งในตลาดหุ้นไทยจะเวียนกลุ่มเล่น โดยจะแบ่งออกเป็นหุ้นขนาดใหญ่ และหุ้นขนาดเล็ก
ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่วิ่งขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนในประเทศ นักลงทุนสถาบัน กองทุนต่างชาติเข้ามาซื้อ หุ้นไทยก็จะวิ่งไปได้ไกล วิ่งได้นานเป็นสัญญาณของความคึกคักของตลาดหุ้น หุ้นก็มีแนวโน้มวิ่งไปได้ต่อเรื่อยๆ นักลงทุนประเภทนี้มักจะเรียกว่า ลงทุนตาม FundFlow คือตามเม็ดเงินของกองทุนต่างชาติ
ในขณะเดียวกันถ้าหุ้นเล็กวิ่ง แสดงถึงความไม่คึกคัก มักจะเป็นนักลงทุนรายย่อยเล่นกันเอง เล่นตัวนี้เสร็จก็ขายทิ้ง แล้วไปเล่นตัวใหม่ต่อ ลักษณะแบบนี้มักจะวิ่งไปได้ไม่ไกล วิ่งขึ้นได้ไม่นานก็ต้องถอยลงมา

ถ้าเราเป็นนักลงทุนแล้วพอจับความเคลื่อนไหวลักษณะนี้ได้ ก็พอจะหลีกเลี่ยงการดอยหุ้นได้ กล่าวคืนในช่วงที่ FundFlow เข้า โอกาสที่จะดอยมีน้อย แต่ถ้าช่วงที่หุ้นเล็กคึกคักแล้วเราเข้าไปซื้อด้วย ถ้าเราออกช้าก็มีโอกาสสูงที่เราจะติดดอยได้เหมือนกัน

 

4. สัญญาณทางเทคนิคหุ้นกว่า 70% อยู่ในขั้น "สวย"
เคยมีบทวิจัยของตลาดทางฝั่งอเมริกาไว้ว่า ในดัชนีดาวโจนส์ที่ประกอบไปด้วย 30 ตัว ถ้ามีประมาณ 70% (หรือประมาณ 20 ตัว) เป็นสัญญาณเทคนิคที่ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดการ "ปรับฐานครั้งใหญ่ได้" ไม่ช้าก็เร็ว เป็นสัญญาณว่าหุ้นได้ถึงจุดดอยเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ว่าบทวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลเชิงสถิติที่ไม่ได้รับการยอมรับมากเท่าไรนัก และยังไม่มีการศึกษาเป็นจริงเป็นจังในตลาดหุ้นไทย แต่นี้ก็ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากทีเดียว ถ้าเมื่อใดที่หุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะยาวแล้ว มักจะเกิดการปรับฐานเสมอ
นักลงทุนต้องระมัดระวังให้ดีครับ

 

5. ความคึกคักของงานสัมนาหุ้น
ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทย ค่อนข้าง "เปย์" นักลงทุนอยู่เหมือนกัน โปรแกรมที่ใช้ในการเทรดหุ้น ความรู้ที่ให้แก่นักลงทุน การติดตามบริษัทจดทะเบียน กฏเกณฑ์ต่างๆ งานสัมนาหุ้น งาน Oppday ที่จะได้ใกล้ชิดบริษัทจดทะเบียน สิ่งเหล่านี้ถือเป็น "ของฟรี" ที่นักลงทุนสามารถติดตามได้ไม่ยาก แม้กระทั่งนักลงทุนที่ไม่มีเวลาก็สามารถดูผ่านช่องทางยูทูป หรือเว็บไซด์ของตลาดหลักทรัพย์ย้อนหลังได้เลย

แต่ด้วยของฟรีที่ว่านี้เอง ทำให้ "มวลชนส่วนใหญ่" สามารถเข้าถึงและถือเป็นการจับสัญญาณแห่งดอยที่น่าสนใจ กล่าวคือ ถ้าช่วงที่ตลาดเงียบเหงา นักลงทุนก็จะเงียบเหงาตามไปด้วย ไม่เข้าร่วมสัมนา ไม่ฟังรายการหุ้น ไม่อยากหาความรู้เพราะคนมักจะคิดว่า "รอให้ดี" ก่อน ค่อยกลับเข้ามาซื้อก็ยังไม่สาย ซึ่งส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวหุ้นก็ขึ้นมามากระดับหนึ่งแล้ว
ในขณะเดียวกัน ถ้าในงานสัมนาหุ้น นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมาก ล้นห้องจัดสัมนา แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นกำลังคึกคัก และใครๆก็หันมาเล่นหุ้น นี้ก็ถือเป็นสัญญาณว่าหุ้นใกล้จะถึงจุดพีคแล้วนั้นเอง

 

6. Cash is Trash หรือ Cash is King
ในช่วงที่ตลาดหุ้นน่าเบื่อ เงียบเหงา หรือพึ่งผ่านวิกฤตอะไรมา คนมักจะบอกว่าให้ถือเงินสดเอาไว้ เพราะ "Cash is King" คนถือเงินสดปลอดภัยที่สุด จะเอาไปทำอะไรก็ได้ย่อมมีโอกาส แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก หุ้นถีบตัวขึ้นกันอย่างมาก เรามักจะได้ยินคนพูดว่า
"Cash is Trash" หรือเงินสดคือขยะ ใครจะบ้าถือเงินสด เพราะเดียวนี้เขาใช้เงินทำงานไปถือสินทรัพย์เพื่อทำเงินกันหมดแล้ว และคำพูด 2 คำนี้ก็พอจะบ่งบอก "อารมณ์" ของตลาดในเวลาแบบนั้นได้เหมือนกันครับ

 

นี้ก็เป็นสัญญาณแห่งดอยที่ถึงแม้จะไม่ได้มีบทวิจัยว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ตลาดหุ้นจะต้องปรับฐาน แต่ถือเป็นจุดสังเกตได้บ้างว่าให้ระมัดระวังเอาไว้ก็เหมือนกับที่วอเร็น บัฟเฟตต์บอกเอาไว้ "จงกล้าในขณะที่คนอื่นกลัว และจงกลัวในขณะที่คนอื่นกล้า" ประเด็นสำคัญคือถ้าเรารู้แบบนี้แล้วจะทำอย่างไรกับพอร์ตการลงทุนของเรา นี้เป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง


SiTh LoRd PaCk