ปฏิเสธไม่ได้ว่านักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญ “ซื้อหุ้นเป็น” มากกว่า “ขายหุ้นเป็น” สังเกตได้จากเวลานักลงทุน “ซื้อหุ้น”จะซื้อด้วยความมั่นใจ หลังจากที่ได้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ มาอย่างมากมาย แต่พอถึงจังหวะที่จะต้อง “ขายหุ้น” กลับลังเล และกังวล ทำให้เกิดความล่าช้าในการตัดสินใจ ด้วยเหตุผล 3 ประการ
1 คิดที่ว่าราคาจะสามารถ สูงขึ้นไปได้อีก
เมื่อเห็นราคาหุ้นที่ซื้อไว้กำลังปรับตัวสูงขึ้นอารมณ์และความโลภ จะทำให้นักลงทุนเริ่มมองโลกในแง่ดี ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไป อย่างต่อเนื่องตามที่เราต้องการ จึงตัดสินใจถือต่อไป แม้ว่าขาย ตั้งแต่ตอนนี้จะได้กำไร 10-15% แล้วก็ตาม แน่นอน... หากราคา ปรับขึ้นไปเรื่อยๆ ตามที่คาดไว้ ก็ไม่เสียหายอะไร แต่หากวันดีคืนดี ราคาหุ้นปรับตัวลดลงรวดเร็วจากปัจจัยลบหรือปัจจัยพื้นฐานที่ เปลี่ยนแปลงจนขายไม่ทัน อาจเกิดความเสียหายเจ็บตัวหนัก ถึงขั้นขาดทุนเลยทีเดียว
2 การไม่ยอมรับความจริง (ดื้อ)
เมื่อหุ้นที่ซื้อมาราคาปรับตัวลดลงแต่นักลงทุนกลับ ตัดสินใจถือต่อโดยไม่มีจุดขายขาดทุน (Cut Loss) เพราะเชื่อว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งราคาจะปรับขึ้นมาได้ หากราคาหุ้นปรับขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาใดๆ แต่หากไม่เป็นไปตามที่คาดคิด การปล่อยหุ้นที่มี แนวโน้มราคาปรับตัวลงทิ้งไว้ในพอร์ตย่อมทำให้ สถานการณ์ย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ
3 พยายามคาดเดาตลาดเพื่อหาจังหวะขายหุ้น
ในโลกความเป็นจริง ไม่มีใครที่สามารถมองอนาคตได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น นักลงทุนที่ “ซื้อในราคาต่ำที่สุด แล้วขายในราคาสูงที่สุด” จึงหาได้ยากมาก แม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ และปีเตอร์ ลินช์ ยังยอมรับว่าไม่สามารถทำได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ ซื้อและขายในราคาที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ในราคาที่ดีที่สุด
จะเห็นว่านอกจากการ “ซื้อหุ้นให้เป็น” นักลงทุนยังต้อง “ขายหุ้นให้เป็น” ด้วย เพราะการซื้อและขายหุ้นอย่างเหมาะสมเป็นกระบวนการทำกำไรสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อย่าลืมว่า “จุดที่ทำกำไร คือ จุดในการขาย” แต่เมื่อซื้อแล้วขายไม่เป็น โอกาสขาดทุนก็ย่อมสูงกว่าได้กำไร
แน่นอนว่า... การซื้อหุ้นนอกจากจะต้องซื้อในราคาเหมาะสมแล้ว ยังต้องซื้อในจังหวะที่ดีด้วย แต่กำไรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการขายหุ้นออกไป หากยังไม่ขายหุ้น กำไรที่เห็นก็เป็นเพียงกำไรทางบัญชีเท่านั้น ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเห็นความสำคัญของการขายแล้ว เทคนิคถัดมาที่ต้องเรียนรู้ก็คงหนีไม่พ้นการ “ขายให้ถูกที่ถูกเวลา” เพื่อทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับอยู่ในระดับที่พึงพอใจ
ลองมาดู เหตุผลดีๆ ที่ควรขายหุ้น กัน
1 ตัดสินใจหรือวิเคราะห์ผิดพลาด
เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะบางครั้งเราซื้อหุ้นบนพื้นฐานของข้อมูล และการวิเคราะห์ แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรือการวิเคราะห์ มีความผิดพลาด ไม่สะท้อนความเป็นจริงของกิจการ ก็ควร “ขายหุ้น” ถึงแม้ว่าจะขาดทุนก็ตาม ย่อมดีกว่าใช้อารมณ์ ในการตัดสินใจแล้วเสียดายตัดสินใจถือหุ้นต่อ โดยไม่ยอมรับความจริง
2 ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากเห็นว่าราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็วก็ควรวิเคราะห์ให้ละเอียด รอบคอบมากยิ่งขึ้นว่าเกิดจากสาเหตุใด หากเกิดจากการที่นักลงทุน ประเมินได้อย่างแม่นยำก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากราคาปรับขึ้นด้วยสาเหตุที่ ไม่น่าไว้วางใจ ก็อาจไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่สุดในการตัดสินถือต่อเพื่อหวัง กำไรที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ถ้าหุ้นขึ้นเร็วราวจรวดแล้วแตะถึงระดับราคาที่เรา มีกำไร ควรตัดใจขายออกมาก่อน แล้วค่อยรอจังหวะซื้อคืนอีกครั้งก็ยังไม่สาย
3 ราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าที่ประเมิน
บางครั้งต่อให้คิดคำนวณราคาที่เหมาะสมมาเป็นอย่างดีแค่ไหน ก็ใช่ว่าราคาหุ้นจริงๆ จะขยับไปถึงจุดนั้นได้เพราะการประเมินหรือการคาดการณ์ เป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ จึงมีความไม่แน่นอนสูง บางครั้งอาจต้องตัดสินใจขายออกไปก่อน