ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิกฤตการออมเงินของคนไทย

โดย ROE
เผยแพร่ :
93 views

วิกฤตการออมเงินของคนไทย

เป็นที่ทราบกันดี “การออม” เป็นหลักการขั้นพื้นฐานเบื้องต้นสำหรับการเตรียมเงินเพื่อให้เพียงพอต่อชีวิตในวัยหลังเกษียณ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” โดยพบว่า ในปี 2561 มีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้าหรือปี 2564 จะมีผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 20 และสูงขึ้นอีกในปี 2574 ในสัดส่วนร้อยละ 28 ซึ่งจะเห็นได้ว่า สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆปี และยังพบว่ารัฐต้องรับภาระในการดูแลและอุดหนุนผู้สูงอายุกลุ่มนี้อีกปีละ 7 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงเป็นคำถามอีกต่อไปว่า ผู้สูงอายุกลุ่มดังกล่าว มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในวัยหลังเกษียณแล้วหรือไม่!!!

.

จากการสำรวจประชากรกลุ่มผู้สูงอายุพบว่า ปัจจุบันยังต้องพึ่งพารายได้จากลูกหลานในสัดส่วนร้อยละ 34.7 ซึ่งลดลงมาจากปี 2550 ที่ต้องพึ่งพามากถึงในสัดส่วนร้อยละ 52.3 อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า เหตุผลหลักที่ทำให้สัดส่วนนี้ลดลงเนื่องจากลูกหลานมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะดูแลผู้สูงอายุได้ นอกจากนั้น จากข้อมูล World Bank ยังพบว่า คนไทยมีอัตราส่วนการออมเพียงร้อยละ 7 ของ GDP ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่มีสัดส่วนการออมเงินเฉลี่ยที่ร้อยละ 19.7 ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว มีสัดส่วนการออมถึงร้อยละ 50.7 ของ GDP โดยประเทศที่มีการออมสูงสุดได้แก่ เดนมาร์ก ซึ่งมีสัดส่วนการออมถึงร้อยละ 208.7 ของ GDP ดังนั้น จึงมีการตั้งคำถามว่า แล้วควรจะต้องออมเท่าไร ถึงจะเพียงพอต่อค่าใช่จ่ายในวัยหลังเกษียณ!!!

.

นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความเห็นว่า หากต้องการออมเงินให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายหลายๆ อย่าง และไม่เป็นภาระของลูกหลานในวัยเกษียณแล้ว ควรมีสัดส่วนในการออมเงินในระดับร้อยละ 10 ถึง 15 ของรายรับ ยกตัวอย่างเช่น หากได้รับเงินเดือน 15,000 บาท ต่อเดือน ก็ต้องออมเงินให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 1,500 บาท เพื่อคาดหวังว่า ให้มีเงินก้อนใหญ่สักก้อนหนึ่งในอนาคต เพื่อสามารถเลี้ยงดูตัวเองในชีวิตหลังเกษียณได้ จากตารางข้างล่างนี้แสดงให้เห็นว่า หากต้องการมีเงินใช้รายเดือนปริมาณหนึ่ง จะต้องมีเงินเก็บหลังเกษียณอย่างน้อยเท่าใด ถึงจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนดังกล่าว

.

นอกจากการเก็บออมทั่วไปแล้ว การเก็บออมเงินผ่าน "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" สำหรับมนุษย์เงินเดือน ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับการวางแผนการออมเงิน โดยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้ จะมีนโยบายการลงทุนที่มีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของกองทุน โดยผ่านการบริหารกองทุนด้วยมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม การการสำรวจของผู้มีงานทำจำนวน 37 ล้านคน พบว่า บริษัทที่จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีเพียงร้อยละ 4 หรือประมาณ 380 กองทุน เท่านั้น โดยมีสมาชิกเพียง 3 ล้านคน ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเปรียบเทียบกับผู้มีงานทำทั้งหมด

.

โดยสรุปแล้ว.... จะเห็นว่า “การออม” เป็นการวางแผนการเงินในชีวิตวัยหลังเกษียณที่มีความสำคัญอย่างมาก หากตั้งใจที่เกษียณโดยมีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงอีกด้วย จึงต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อสะสมเงินให้เพียงพอ พร้อมที่จะเกษียณอย่างมีความสุข ไม่เป็นภาระของลูกหลาน และประเทศชาติ......


ROE