BAM ลุยซื้อหนี้ 1 หมื่นลบ. เร่งเจรจาสถาบันการเงิน 5-6 แห่ง ตั้ง AMC

นายวีรเวช ศิริชาติไชย รองผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนองค์กร บริษัทบริหารกรุงเทพสินทรัพย์ พาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยในงาน "Opportunity Day" ว่า บริษัทตั้งเป้าผลเรียกเก็บหนี้ทั้งปีนี้ไว้ที่ 17,488 ล้านบาท โดยปัจจุบันทำได้แล้ว 3,162 ล้านบาท คิดเป็น 18% ของเป้าหมาย ซึ่งโดยปกติในช่วงไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น โดยเชื่อว่าในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 จะกลับมาเติบโตได้ตามเป้าหมาย
.
“ไตรมาส 1/65 เรามีผลเรียกเก็บ NPLs ที่ 2,022 ล้านบาท และ ผลเรียกเก็บ NPAs ที่ 1,140 ล้านบาท รวมแล้ว 3,162 ล้านบาท ซึ่งผลเรียกเก็บโดยรวมปรับตัวดีขึ้น YoY แต่อ่อนตัวลง QoQ ซึ่งเป็นไปตามซีซั่นของธุรกิจ โดยเชื่อว่าจะดีขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 จะดีขึ้น เพราะเข้าสู่ไฮซีซั่นเรา และ ยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่าง Due Diligence ประมาณ 9,320 ล้านบาท แบ่งเป็น สินเชื่อเพื่อ SMEs 6,137 ล้านบาท และ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3,183 ล้านบาท”
นายวีรเวช กล่าว
.
เป้าหมายซื้อทรัพย์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ในปีนี้ตั้งไว้ที่ 9,000-10,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/65 บริษัทใช้งบซื้อหนี้ไปแล้ว 1,347 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีวงเงินทั้งจากสถาบันการเงิน และ การออกหุ้นกู้รองรับไว้สำหรับการลงทุนซื้อหนี้ ทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว หากมีทรัพย์ที่น่าสนใจในราคาที่หมาะสม บริษัทก็พร้อมที่จะเข้าลงทุนเพิ่มทันที
.
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการตั้งกิจการร่วมค้า (V) กับสถาบันการเงินเพื่อดำเนินธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไข และ สัญญาต่าง ๆ กับสถาบันการเงิน 5-6 แห่ง แต่ได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับวงเงินลงทุนตั้งต้น อยู่ที่ 100-500 ล้านบาท ต่อ 1 JV ต่อ 1 สถาบันการเงิน ส่วน D/E Ratio ของ JV กำหนด ที่ 5-10 เท่า และ ซื้อพอร์ตหนี้มูลค่า 2,000 – 5,000 ล้านบาท โดยจะมีรายได้ค่า Management Fee และ Success Fee จากการรับจ้างบริหารจัดการ
.
“การดำเนินธุรกิจในช่วงแรกเป็นเรื่องปกติที่การตั้งธุรกิจใหม่อาจมีผลขาดทุนจากการบริหารจัดการในช่วง 1-2 ปี โดยการดำเนินการบริษัทจะมีรายได้จากการบริหารจัดการหนี้ และ รายได้จากการขาย NPAs ในขณะที่สถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรจะมีการนำหนี้เสียมาขายให้กับบริษัทร่วมทุนบริหาร ทำให้มีหนี้เสียลดลง และ มีรายได้จากดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทร่วมทุน ซึ่งสถาบันการเงินกำลังศึกษาถึงความคุ้มค่า ทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ NPL ที่จะลดลง”นายวีรเวช กล่าว
