ส่องเทรนด์ลงทุนโค้งสุดท้ายปี 66
หุ้นไทยจะไปได้ไกลแค่ไหน?
.
เดือนตุลาคม ถือเป็นเดือนแรกของไตรมาส 4 ซึ่งในแง่ของตลาดทุนจะเริ่มเห็นการสรุปทิศทางการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงที่เหลือปีนี้ไปจนถึงธีมการลงทุนในปีถัดไป
.
ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงขอใช้โอกาสนี้เพื่อหยิบยกข้อมูลเกี่ยวกับมุมมองการลงทุน และทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/66 ผ่านความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จากหลากหลายสถาบัน มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนสายตลาดทุนไทยให้ได้ปรับพอร์ตการลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของปี
.
เริ่มกันที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปีที่ 1,700 จุด โดยในไตรมาส 4/66 จะแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ 1,493-1,480 จุด และแนวต้านที่ 1,680-1,720 จุด เนื่องจากสัญญาณเงินเฟ้อและมุมมองเฟดเริ่มผ่อนผ่อนคลายและเห็นภาพดอกเบี้ยพ้นจุดสูงสุดแล้วเป็นจุดเปลี่ยนเชิงบวกต่อราคาสินทรัพย์หลังจากนั้น
.
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการเติบโตที่โดดเด่นรออยู่ในปี 2567 ภายใต้การนำรัฐบาลใหม่ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากแผนการขับเคลื่อนในทุกมิติ นำโดยฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่ 25 ก.ย. เข้ามาหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 4/66 และ ช่วงครึ่งปีแรกปี 67 จากนโยบาย Digital Wallet จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้หุ้นไทยแกว่งตัวขึ้น
.
ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำธีม Domestic Plays รับอานิสงส์นโยบายรัฐฯกลุ่มภาคบริการ (ท่องเที่ยวค้าปลีกการแพทย์นิคม) เร่งตัว, ภาคบริโภคที่กำลังซื้อจะหมุนทั่วประเทศและเปิดอัพไซด์สูงฟื้นคืนความคึกคักกลุ่มฐานราก (ค้าปลีกธนาคารเช่าซื้อ) ผสานกลุ่ม Global Plays (ชิ้นส่วน, ปิโตรเคมี, แพ็คเกจจิ้ง) ที่พร้อมฟื้นตัวไปกับเศรษฐกิจจีน โดยมีหุ้น TopPicks ประกอบไปด้วย AOT, ERW, CPAXT, BCH, WHA, SCB, KCE, PTT, SCGP, IVL, JMT และ MTC
.
ต่อมาบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2566 ไว้ที่ 1,630 จุด แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะให้ผลตอบแทนเป็นลบทุกไตรมาส แต่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นในไตรมาส 3/66 ที่เริ่มเคลื่อนไหวทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากมีความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะเห็นโมเมนตัมเชิงบวกที่เริ่มเกิดขึ้นต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 4/66
.
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติม ประกอบไปด้วยการเข้าสู่ฤดูหนาวท่ามกลางภาวะเอลนีโญ จะทำให้ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูงซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน, การส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ชัดเจนมากขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
.
รวมไปถึงแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/66 คาดกำไรสุทธิรวมที่ 2.3 แสนล้านบาท เติบโต 5% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งกลุ่มที่โตดี คือ ธนาคารพาณิชย์, พลังงานต้นน้ำ และโรงกลั่น, ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, การแพทย์, และสื่อสาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ จึงอาจได้เห็นแรงเก็งกำไรจากนักลงทุนต่างชาติ
.
สำหรับคำแนะนำการลงทุนให้ Selective Buy โดยธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วยหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่, แนวโน้มผลประกอบการไตรมา 3/66 เด่นหรือมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวรออยู่, หุ้นได้ประโยชน์จากปรากฎการณ์ “เอลนีโญ” ที่จะเร่งขึ้นอีกในต้นปีหน้าและหุ้น Defensive รองรับความผันผวนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งหุ้นแนะนำใน 7 Wonder คือ ADVANC, BANPU, CPALL, EKH, GPSC, OSP และ TRUE
.
สุดท้ายบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2566 ที่ 1,650 จุด โดยการหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยของสหรัฐฯ จะช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ตลาดในไตรมาส 4/66 และหากเฟดพักการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน 2566 จะช่วยสนับสนุนตลาดพร้อมกับการฟื้นตัวของกำไร
.
ขณะเดียวสินค้าคงคลังเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และจีนที่ลดลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเมินว่ายอดขายเซมิคอนดักเตอร์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและอาจนำไปสู่การกลับมาเริ่มเติมสินค้าคงคลังทั่วโลกอย่างช้าๆ ในไตรมาส 4/66 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้กำไรของตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังปี 66 ดีกว่าครึ่งปีแรกปี 66
.
ทั้งนี้ ธีมการลงทุนที่แนะนำและน่าสนใจ เป็นหุ้นที่มีฐานะการเงินและกระแสเงินสดที่ดี, ได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากการเติมสินค้าคงคลังของจีนและการเปิดประเทศ, ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากการชะลอการใช้จ่ายทั่วโลก ซึ่งมีหุ้นเด่นประกอบไปด้วย AOT, BCH, CRC, KCE และ KTB
