ห้องเม่าปีกเหล็ก

พรีวิวงบกลุ่มแบงก์ไตรมาส 2/64

โดย dave
เผยแพร่ :
79 views

พรีวิวงบกลุ่มแบงก์ไตรมาส 2/64 ธนาคารไหนจะเติบโตกว่ากัน

ท่ามกลางสภาวะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ในประเทศไทยที่กำลังปะทุอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมีตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อใหม่ของวันเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 8 ก.ค.64 ที่จำนวน 7,058 คน และพบว่ามียอดการเสียชีวิตที่ 75 ราย อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายคาดการณ์กันว่า ในช่วงสัปดาห์หน้าอาจจะมีตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นในระดับ 10,000 คน หลังจากที่มีการระบาดของสายพันธุ์ Delta ในประเทศไทย


อย่างไรก็ตามสถานการณ์ขณะนี้ยังคงต้องเกาะติดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และหาจุดสิ้นสุดว่าตัวเลขของการติดเชื้อจะขึ้นไปทำสถิติใหม่สูงสุดเมื่อใด ตามที่นักวิเคราะห์หลายสำนักได้ระบุไว้ แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อก็หักปากกาเซียนมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพราะตัวเลขการติดเชื้อก็ยังคงทำนิวไฮต่อเนื่องมาโดยตลอด


ทั้งนี้นอกเหนือจากเรื่องตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศแล้วยังคงต้องจับดูการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/64 ของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยประกาศในช่วงสัปดาห์หน้า โดยภาพรวมผลประกอบการ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/64 เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ในรอบใหม่


แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะเห็นภาพการฟื้นตัว ทั้งนี้หากดูธนาคารที่มีแนวโน้มผลประกอบการจะเติบโตจากไตรมาสก่อน และจะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ที่พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อบ้านที่โตขึ้น บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งจากธุรกิจ wealth management รวมถึงธุรกิจโบรกเกอร์ และธุรกิจไปวาณิชธนกิจ


รวมไปถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ที่มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ออกไปในช่วงไอพีโอ ทำให้ได้กำไรในส่วนนี้เข้ามาประมาณ 9.3 พันล้านบาท


โดยรายงานจากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/64 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมถึงคาดการณ์ตัวเลขการจ่ายเงินปันผลครึ่งแรกของปี 64 โดยคาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มจะอยู่ที่ระดับ 30,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน ในฐานที่ต่ำ แต่จะลดลง 21% จากไตรมาส 1/64 เพราะหลายแบงก์กลับมาเพิ่มระดับการตั้งสำรองเพื่อรองรับผลจากโควิด19 รอบใหม่ อีกทั้งรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่ปรับลดลง ทั้งจากรายได้ค่านายหน้าขายประกัน ขายหน่วยลงทุน รวมถึงกำไรจากการตีมูลค่าเงินลงทุน


เริ่มกันที่ SCB คาดว่าจะมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/64 จำนวน 7,889 ล้านบาท ลดลง 5.62% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลงจากไตรมาส 1/64 จำนวน 21.80% ซึ่งเป็นผลถูกกดดันจากการตั้งสำรองที่เร่งตัวขึ้น และรายได้ดอกเบี้ยที่ต่ำลง จาก NIM ที่มีแนวโน้มอ่อนแรงหลัง SCB เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดเงิน


ขณะที่ KBANK มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 จำนวน 8,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 270% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลงจากไตรมาส 1/64 จำนวน 24.28% ซึ่งกำไรปรับลงจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น รวมทั้งมีแรงกดดันจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ที่ทำลดลงจาก ทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมที่ชะลอตัว ได้กำไรจากการตีมูลค่าเงินลงทุนที่น้อยลง


ส่วน BBL มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/64 จำนวน 5,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% จากปีก่อน แต่จะลดลงจากไตรมาส1/64 จำนวน 18.44% โดยกำไรที่ปรับลดลง เพราะจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น แต่ผลกระทบบางส่วนถูกบรรเทาลงจากการคุมค่าใช้จ่ายที่ดี และรวมงบของ ธนาคารเพอร์มาตาเข้ามาในงบการเงินรวม


ด้าน TTB คาดจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 ที่ 1,980 ล้านบาท ลดลง 36% จากปีก่อน และยังลดลงจากไตรมาส 1/64 จำนวน 28.80% ภาพรวมยังโดนกดดันจากการตั้งสำรองที่เร่งตัวขึ้น และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวม TMB และ Tbank


สำหรับ TISCO จะมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/64 ที่ระดับ 1,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.35% จากปีก่อน แต่จะลดลง8.39% หากเทียบกับในไตรมาส 1/64 โดยกำไรที่ปรับลดลงจากการไตรมาส 164 เพราะตั้งสำรองที่สูงขึ้นแต่เพิ่มขึ้นไม่มากเท่าแบงก์อื่น เนื่องจากบริษัทปรับลดการให้สินเชื่อกลุ่มความเสี่ยงสูง อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีแรงหนุนจากการจากธุรกิจโบรกเกอร์ที่เติบโตได้ดี


โดย KKP จะมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/64 ที่ 1,496 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังเพิ่มขึ้น2.32% จากไตรมาส 1/64 ด้วยรายได้ดอกเบี้ยที่สดใสตามพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อบ้านที่โตขึ้น บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งจากธุรกิจ wealth management รวมถึงธุรกิจโบรเกอร์ และธุรกิจไปวาณิชธนกิจ


ขณะที่ KTB จะมีกำไรสุทธิจำนวน 4,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.30% จากปีก่อน แต่จะลดลง 23.05% จากไตรมาส1/64 กำไรอ่อนตัวจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น ขนาดที่ NIM มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และ Asset Yield ที่ต่ำลงหลังธนาคารเน้น สินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ


ในด้านของ BAY จะมีกำไรสุทธิไตรมาส2/64 อยู่ที่ 10,365 ล้านบาท เพราะมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น TIDLOR ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการบันทึกเข้ามาประมาณ 9,300 ล้านบาท ซึ่งทำให้เติบโต 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 59.3% จากไตรมาส 1/64

 

ขอบคุณที่มาเนือหาข้อมูลจาก


dave