อย่าเพิ่งฉลอง! ดอกเบี้ยขาลงรอบนี้ อาจซ่อน 'ระเบิดเวลา' เงินเฟ้อแบบปี 1970?
สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ วันนี้เรามีประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับเรื่องของ "ดอกเบี้ย" และทิศทางเศรษฐกิจโลกที่น่าจับตามองมากๆ มาเล่าให้ฟังกันค่ะ บอกเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันมีความพิเศษและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ใครที่กำลังลงทุนในหุ้นหรือติดตามข่าวเศรษฐกิจ ห้ามพลาดบทความนี้เลยนะคะ เพราะมันคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะบอกว่าพอร์ตของเราจะ "ปัง" หรือจะ "แป้ก" ในระยะยาวค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า ตอนนี้ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังทำสิ่งที่เรียกว่า "การลดดอกเบี้ยแบบฮวบฮาบ" หรือลดในอัตราที่รวดเร็วมาก ซึ่งปกติแล้วเราจะเห็นการลดดอกเบี้ยแรงขนาดนี้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) หรือวิกฤตเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รอบนี้มันต่างออกไปค่ะ เพราะเขากำลังพยายามทำให้เศรษฐกิจลงจอดแบบนิ่มนวล หรือที่เรียกว่า Soft Landing นั่นเอง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาดูตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงกันค่ะ ทางฝั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) ได้ทำการลดอัตราดอกเบี้ยลงไปแล้วถึง 150 basis points (หรือ 1.50%) นับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2024 ซึ่งถือว่าเป็นการผ่อนคลายนโยบายที่เร็วที่สุดนอกภาวะเศรษฐกิจถดถอยนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เลยทีเดียว ในขณะที่ฝั่งยุโรปอย่างธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ มีการลดดอกเบี้ยลงไปถึง 200 basis points (หรือ 2.00%) ในช่วงกลางปี 2024 ต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2025
คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ "แล้วมันจะจบสวยไหม?" ทาง Deutsche Bank เขาได้ออกมาวิเคราะห์โดยเทียบเคียงกับประวัติศาสตร์ค่ะ เขาบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้คล้ายกับ วัฏจักรเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 มากที่สุด ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สุด (Best Case Scenario) สำหรับผลลัพธ์ที่เป็นบวกค่ะ
ลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในช่วงปี 1984 ถึง 1986 ตอนนั้นเฟดลดดอกเบี้ยลงไปมหาศาลกว่า 500 basis points (หรือ 5%) เลยนะคะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เงินเฟ้อลดลง และค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลง แต่สิ่งที่สำคัญคือ "อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง" (Real Rates) ยังคงเป็นบวก และเงินเฟ้อก็ถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ผลลัพธ์คือตลาดหุ้นบูมสุดๆ ค่ะ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นถึง 26% ในปี 1985 และบวกต่ออีก 15% ในปี 1986 เรียกว่าใครลงทุนช่วงนั้นคือกำไรเป็นกอบเป็นกำ
แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอค่ะ ประวัติศาสตร์ก็มีบทเรียนที่น่ากังวลให้เราเห็นเหมือนกัน ถ้าเรามองย้อนกลับไปในช่วง ปลายทศวรรษ 1960 สถานการณ์ตอนนั้นเฟดได้ลดดอกเบี้ยลงไปประมาณ 200 basis points แต่ปรากฏว่าเงินเฟ้อกลับพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้ง
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนาม ทำให้เฟดต้องกลับลำอย่างรุนแรงด้วยการ "ขึ้นดอกเบี้ย" ที่เข้มข้นกว่าเดิม ผลที่ตามมาคือเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 1970 และกำไรที่นักลงทุนเคยได้จากตลาดหุ้นก่อนหน้านั้นก็หายวับไปกับตาเลยค่ะ
อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ญี่ปุ่นในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ตอนนั้นญี่ปุ่นก็ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน หรือลดดอกเบี้ยเช่นกัน ซึ่งดำเนินต่อเนื่องไปแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะกลับมาแล้วก็ตาม การที่ดอกเบี้ยต่ำนานเกินไปนี่แหละค่ะ ที่ภายหลังถูกมองว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด "ฟองสบู่สินทรัพย์" (Asset Bubble) ซึ่งในที่สุดฟองสบู่ลูกนี้ก็แตกดังโพละในช่วงต้นทศวรรษ 1990 นำไปสู่ทศวรรษที่หายไปของญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วรอบอื่นๆ ที่มีการลดดอกเบี้ย อย่างเช่นในช่วงปี 1995-1996, ปี 1998 หรือปี 2019 ล่ะ เอามาเทียบได้ไหม? ต้องบอกว่ารอบเหล่านั้นเป็นการลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยแค่ประมาณ 75 basis points เท่านั้นค่ะ ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปและมีบริบทที่ต่างกันมาก จึงแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่เลย
เมื่อเราวิเคราะห์ภาพรวมจากวัฏจักร Soft Landing ในอดีต เราจะเห็นแพทเทิร์นที่ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ สินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่มีการผ่อนคลายนโยบาย ซึ่งทางธนาคาร Deutsche Bank ก็ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบนี้กำลังเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งในช่วงปี 2024-2025 นี้ โดยความเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 ในช่วงที่ผ่านมานั้น เกาะติดไปกับความคาดหวังที่มีต่อการประชุมของเฟดอย่างใกล้ชิด
ในทางตรงกันข้าม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Treasury yields) มักจะไม่ลดลงมากนักถ้าเศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เราเห็นกันอยู่ในปีนี้เช่นกันค่ะ
บทสรุปของเรื่องนี้ ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับตัวแปรเดียวที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "เงินเฟ้อ" ค่ะ
หากการลดดอกเบี้ยสามารถยืดระยะเวลาการขยายตัวทางเศรษฐกิจออกไปได้ โดยที่เงินเฟ้อไม่กลับมาอาละวาด พื้นฐานของตลาดหุ้นก็จะยังคงแข็งแกร่งและน่าลงทุนต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่แรงกดดันด้านราคาเริ่มกลับมา และธนาคารกลางถูกบีบบังคับให้ต้องกลับไปใช้นโยบายเข้มงวดหรือขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ประวัติศาสตร์ก็ได้เตือนเราไว้แล้วว่า ผลตอบรับของตลาดในช่วงเวลานั้นจะยากลำบากและเจ็บปวดกว่าเดิมแน่นอนค่ะ
ดังนั้น ช่วงนี้ต้องจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้อกันให้ดีๆ นะคะ เพราะมันคือเข็มทิศที่จะบอกทิศทางของเงินในกระเป๋าเราค่ะ
เนื้อหาบทความจาก.. Beauty Investor