โบรกฯ มองหุ้นยังลงได้อีก คาดแนวรับแรก 1,580 จุด เลวร้ายสุด 1,550 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ช่วงนี้ แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นและเน้นถือเงินสดเพื่อรอจังหวะมากขึ้น เนื่องจากประเมินระดับดัชนีฯที่ต่ำกว่า 1,620 จุด เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก

.

ทั้งนี้ ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังจากนี้จะเคลื่อนไหวผันผวนสูง หลังจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯออกมาสูงกว่าที่คาด ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวลงหลุดระดับ 1,600 จุด หรืออาจลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,580 จุด อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากรณีเลวร้าย SET INDEX ก็มีโอกาสลดลงไปที่ถึงระดับ 1,550 จุดได้ หากเห็นสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยที่ชัดเจนหรือหากผลการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับดอกเบี้ยขึ้นมากกว่าที่หลายฝ่ายคาด

.

ขณะที่มองว่าตอนนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดรอบนี้ที่ระดับ 0.50% ซึ่งหากมีการปรับขึ้นที่ระดับ 0.75% หรือมากกว่าคาดก็น่าจะฉุดให้ตลาดหุ้นซึมลงต่อเนื่องได้ ประกอบกับยังต้องติดตามแนวโน้มทิศทางจำนวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีนี้ของเฟดว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน รวมถึงประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ๆ เช่น GDP และตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง เพราะหากเงินเฟ้อยังไม่ปรับตัวลดลง ก็มีความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยจะยิ่งสูงขึ้นมากเรื่อยๆ

.

โดยกลุ่มหุ้นที่แนะนำในช่วงนี้ เน้นหุ้นบางกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อและราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น อาทิ กลุ่มโภคภัณฑ์,อาหาร,ค้าปลีก และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองและยังแลกการ์ด เช่น IVL,PTTGC,CPF,GFPT,TU,TFG,BDMS,BEM,CPALL,MAKRO,MAJOR,CENTEL และ MINT ส่วนกลุ่มหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงคือกลุ่มไฟแนนซ์ เพราะคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

.

ทั้งนี้ ยังคงเป้าหมายดัชนีฯปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,720 จุด แต่ยอมรับว่าก็มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดเป้าดัชนีฯได้ ซึ่งต้องรอดูทิศทางกำไรบจ.ในช่วงไตรมาส 2/65 ก่อน

.

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส กล่าวว่าคาดว่าระยะสั้นดัชนีฯน่าจะลงไปแถวระดับ 1,600 จุด และให้แนวรับถัดที่บริเวณ 1,580 จุด เนื่องจากเชื่อว่าตลาดยังปรับตัวขึ้นได้ยาก เพราะมีแรงกดดันจากทิศทางเงินเฟ้อของทั้งไทยและสหรัฐฯที่ยังไม่มีสัญญาณที่จะลดลง โดยในส่วนของไทยคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 7% ต่อเนื่องไปจนพีคสุดในเดือนส.ค.65 ส่วนสหรัฐฯคาดว่าจะเห็นเงินเฟ้อระดับ 8.3-8.5% ต่อไป รวมถึงเฟดจะใช้ยาแรงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง

.

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้นักลงทุนหันมาถือเงินสดราว 10-20% และพอร์ตหุ้นในส่วนที่เหลือให้มาลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง,ดอกเบี้ยขาขึ้น และรับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า

.

ส่วนเป้าหมายดัชนีฯปีนี้ยังคงไว้ที่ระดับ 1,810 จุด ภายใต้สมมุติฐานที่ไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้ แต่หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ คาดว่าดัชนีฯจะไปอยู่ที่ระดับ 1,722 จุด และหากปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง ดัชนีฯน่าจะไปอยู่ที่ระดับ 1,640 จุด