ห้องเม่าปีกเหล็ก

นักธุรกิจหลงใหลหุ้น 'จเรศักดิ์ ทรงวุฒิวิชัย'

โดย knowledge_trader
เผยแพร่ :
72 views

 

 

อยากเห็นพอร์ตหุ้นไปต่อ หลังขยับตัวสู่แดน 'พันล้าน' ตัวช่วยสำคัญท่ามกลางความผันผวน 'จเรศักดิ์ ทรงวุฒิวิชัย' เจ้าของ 'จีเทค กรุ๊ป'

 

'ผมเป็นนักธุรกิจที่ลงทุนในตลาดหุ้น'

 

'ฮ้ง-จเรศักดิ์ ทรงวุฒิวิชัย' เจ้าของพอร์ตหุ้นหลักพันล้าน นิยามรูปแบบการลงทุนของตัวเองกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' แม้มูลค่าพอร์ตหุ้นจะมีศูนย์มากถึง 3 ตัว แต่อาชีพหลักที่ใช้ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวของ 'ชายวัย 40 ปี' มาจากธุรกิจส่วนตัว ภายใต้ชื่อ 'จีเทค กรุ๊ป' ศูนย์รวมวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง, ป้ายโฆษณา, การพิมพ์, เครื่องเขียน, วัสดุตบแต่งอาคาร และสินค้านำเข้าประเภทเครื่องจักรครบวงจร ระดับพรีเมี่ยมไฮเอนด์

 

ก่อนจะเข้าเมืองกรุงเปิดกิจการเป็นของตัวเอง ลูกชายคนกลาง จากจำนวนพี่น้อง 3 คน ซึมซับอาชีพพ่อค้ามาตั้งแต่วัยเยาว์ ผ่านการทำงานในร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและฮาร์ดแวร์ของผู้ให้กำเนิดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 

แต่หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้วยการรับปริญญาบัตร 2 ใบ จากคณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงินการธนาคาร และสาขาการจัดการทั่วไป มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ชายที่มีชื่อแปลว่า'ผู้รอบคอบ' ตัดสินใจเดินสายอาชีพมนุษย์เงินเดือน

 

ด้วยการนั่งทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปล่อยเงินกู้ให้บริษัทจดทะเบียน ในบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ พูลพิพัฒน์ จำกัด แทนการสานต่อธุรกิจครอบครัว เพียงเพราะต้องการหนีออกจากวังวน 'นั่งเฝ้าร้านตลอดทั้งวัน'

 

นั่งรับเงินเดือนได้เพียง 1 ปี ชายวัย 20 ปี ในขณะนั้น ตัดสินใจลาออก หลังค้นพบว่า ระบบการทำงานในองค์กรไม่รวดเร็วทันใจวัยรุ่น ก่อนพลิกชีวิตตัวเอง หันหน้าเข้าทางธรรม ด้วยการเข้าพิธีอุปสมบท หลังวัดบวรนิเวศวิหาร มีโครงการบวชพระ เพื่อเป็นพระราชกุศลเฉลิมฉลองศิริราชสมบัติ 50 ปี โดยมี 'สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก' เป็นพระอุปัชฌาย์

 

'ธรรมะสติโก' แปลว่า บุคคลที่มีธรรมะเป็นสติ คือ ฉายาทางธรรมของ 'จเรศักดิ์' 

 

หลังบวชครบหนึ่งพรรษา (3 เดือน) 'จเรศักดิ์' ลาสิกขา เพื่อไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะหันหน้าเข้าสู่แวดวงนักธุรกิจ โดยการซับพลายสินค้าวัสดุตกแต่งอาคาร และวัสดุก่อสร้างให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ลูกค้าคนสำคัญในช่วงแรกของการทำธุรกิจ คือ เพื่อนที่ดำเนินธุรกิจรับเหมา

 

'อยากเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่แค่คนค้าขาย' 

 

ทันทีที่ความคิดสะเด็ดน้ำ บุรุษที่เคยมีประสบการณ์การเป็นตัวแทนขายประกันภัย รถยนต์ บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด การันตีด้วยยอดขาย 3 ปี 5 แสนบาท และเคยนำทีม 'บริษัทจำลอง' สมัยเรียนปริญญาตรี สร้างยอดขาย 20 ล้านบาท และกำไร 10 ล้านบาท จากการขายโทรศัพท์มือถือ เพจเจอร์ และ talking dict

 

ตัดสินใจควักเงินล้านก่อตั้ง บริษัท จีเทคโปรดักส์ จำกัด ในปี 2541 บริษัท จีเทคสเตชั่น จำกัด ในปี 2547 และบริษัท จีเทค โอเอชเอ็ม จำกัด ในปี 2548 ช่วงแรกของการทำธุรกิจมียอดขายเพียงไม่กี่ล้านบาท ก่อนจะขยับมาเป็น หลักสิบล้าน ร้อยล้าน และพันล้านในปัจจุบัน ภายใน 5 ปีข้างหน้า เจ้าของใหญ่มีแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น

 

'จเรศักดิ์' เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการลงทุนในตลาดหุ้นว่า สมัยเรียนปริญญาตรีปี 3 ต้องเรียนเกี่ยวกับการลงทุนด้านเทคนิค ด้วยความที่อยากเข้าใจเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นให้มากขึ้น ตัดสินใจนำเงินเก็บ 1 แสนบาท มาเปิดพอร์ตลงทุน

 

หุ้นธุรกิจการเงิน ถือเป็นกลุ่มแรกที่ตัดสินใจลงทุน ผลออกมาในลักษณะกำไรบ้างขาดทุนบ้าง เพราะเล่นตามกระแสข่าวรายวัน โดยไม่มีกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจน จนกระทั่งผ่านมา 10 ปี ประมาณปี 2548 หวนกลับทางเดิมอีกครั้ง

 

หลังสะสมความรู้ ด้วยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน ออกแนวร้อนวิชา เพราะอยากเห็นเงินทำงาน และต้องการได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม ระหว่างทางได้ลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆด้วย เช่น ทองคำ,อสังหาริมทรัพย์,ที่ดิน และพันธบัตร เป็นต้น

 

กลับมาเล่นหุ้นครานั้น เงินตั้งต้นเริ่มต้นที่ระดับ 'สิบล้านบาท' ลักษณะการลงทุนยังทำเองคิดเองเหมือนเดิม แต่มีสไตล์ชัดเจนขึ้น คือ เน้นหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานที่ดี ผลการลงทุนในปีแรก ถือว่า'ใช้ได้' ตอนนั้นไม่สนใจลงทุนด้านเทคนิค เพราะกราฟเป็นเรื่องของสถิติ บางครั้งสถิติ ก็ไม่สามารถบอกอนาคตได้

 

ระหว่างทางมีออกนอกลู่นอกทางบ้าง ด้วยการซื้อหุ้นตามกระแสข่าว เพราะเปิดพอร์ตผ่านโบรกเกอร์หลายแห่ง ซึ่งมาร์เก็ตติ้งหลายคน ย่อมมีมุมมองแตกต่างกัน แต่จากการพิสูจน์ในหลายๆ ครั้งพบว่า การฟังมาร์เก็ตติ้ง หรือโบรกเกอร์มากๆ อาจทำให้การลงทุนผิดพลาดได้เหมือนกัน

 

การลงทุนที่ไม่ผิดพลาดในวันนี้ คือ หากมีเวลาและมีฝีมือ ควรศึกษาการลงทุนด้วยตัวเอง แต่สำหรับนักธุรกิจที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างผม อาจต้องหามืออาชีพ ช่วยดูแลพอร์ต ปัจจุบันพอร์ตหุ้นส่วนหนึ่งได้ยกให้ บลจ.ทาลิส จำกัด เป็นผู้บริหาร ด้วยการลงทุนผ่าน 'กองทุนส่วนบุคคล' หรือPrivate Fund

 

ทุกวันนี้พอร์ตที่ลงทุนด้วยตัวเอง และผ่านบลจ.ทาลิส เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนที่ลงทุนเองมีหุ้นอยู่หลากหลายตัว เช่น หุ้น วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย หรือ VGI, หุ้น บิวตี้คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY ,หุ้น บัตรกรุงไทย หรือ KTC, หุ้น ทรีนีตี้ วัฒนา หรือ TNITY และหุ้น ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น หรือ DCORP เป็นต้น

 

ดาวเด่นประจำพอร์ต ต้องยกให้ หุ้น KTC ซื้อตอน 20 บาท ปัจจุบันราคาพุ่งพรวดมายืน 130 บาท ทำไมชอบหุ้น KTC? เขาตอบคำถามนี้ว่า ตอนซื้อบริษัทแห่งนี้มีกำไรแค่หลักสิบล้านบาท แต่มีความเชื่อลึกๆว่า ต้องขึ้น 'หลักพันล้าน' ได้ในไม่ช้า เพราะธุรกิจเครดิตการ์ดกำลังอยู่ในช่วงเติบโต สุดท้ายบริษัททำได้จริงๆ

 

'เลือกลงทุนด้วยตัวเอง ถือเป็นหตุผลสำคัญ ที่ทำให้มูลค่าการลงทุนขยับขึ้นสู่หลักพันล้าน' 

 

ปัจจุบันพอร์ตลงทุนมีหุ้นหลักๆ 2 ตัว เป้าหมาย คือ ลงทุนยาวเกิน 3 ปี ไล่มาตั้งแต่ หุ้น DCORP สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 3.47% (ตัวเลขวันปิดสมุดทะเบียน วันที่ 31 มี.ค.2559) สาเหตุที่ชอบหุ้นตัวนี้ เพราะบริษัทกำลังจะเปลี่ยนการทำธุรกิจจาก 'สื่อ' เป็น 'พลังงานทดแทน' 

 

ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นผู้ผลิตแผงโซล่าร์เซลล์ ล่าสุดมีออเดอร์จากบริษัทประเทศจีนเข้ามาแล้วจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีแผนจะเข้าไปดำเนินการติดตังแผงโซล่าร์เซลล์ บนหลังคาโรงงานอุตสาหกรรม

 

นอกจากนั้นยังมี หุ้น VGI จากการสำรวจทิศทางธุรกิจสื่อโฆษณาพบว่า โอกาสเติบโตต่อเนื่องยังมีอยู่ สะท้อนผ่านการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าของภาครัฐ ซึ่งบริษัทจะได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้เต็มๆ ในฐานะบริษัทในเครือ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS

 

เขา ย้ำว่า พอร์ตลงทุนที่คิดเองทำเองจะผสมผสานสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ,อสังหาฯ ,ทองคำ ,พันธบัตร ,ธุรกิจส่วนตัว และกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) สัดส่วนเฉลี่ย 80%

 

ส่วนอีก 20% จะให้มืออาชีพช่วยดูแล ด้วยความที่รู้จัก 'ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ทาลิส มานานกว่า 4 ปี ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังทำงานอยู่ในบล.กรุงศรี เมื่อรู้ว่า ออกมาตั้งบริษัทในปี 2559 ก็ตัดสินใจยกพอร์ตให้ช่วยดูแล

 

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนที่ บลจ.ทาลิส ทำได้เฉลี่ย 10% ด้วยการลงทุนผ่านหุ้นทั้งหมด 10 ตัว ส่วนใหญ่จะกระจายอยู่ในหลายๆอุตสาหกรรม เช่น ค้าปลีก ,สื่อสาร ,ก่อสร้าง ,อาหาร ,ธนาคาร เป็นต้น

 

ท่ามกลางเศรษฐกิจขาลง กลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจมีผลประกอบการที่ดี คือ 'กลุ่มค้าปลีก' และ'กลุ่มอาหาร' เมื่อเศรษฐกิจกำลังจะกลับมา กลุ่มเหล่านี้จะเด้งก่อนเพื่อน หลังคนเริ่มกลับมาใช้จ่ายเงินตามปกติ

 

'หน้าที่สำคัญของกองทุนส่วนบุคคล คือ รักษาเงินต้นของลูกค้า ส่วนเรื่องกำไรเขาก็พยายามทำออกมาให้ดีที่สุด'

 

ทำไมพอร์ตต้องมีมืออาชีพดูแล? เซียนหุ้น อธิบายว่า ในขณะที่พอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และธุรกิจส่วนตัวก็เติบโตเช่นกัน การมีคนเข้ามาช่วยบริหาร ก็จะทำให้เรามีเวลาในการสร้างกิจการของตัวเองให้มีความยั่งยืนมากขึ้น พูดง่ายๆว่า มีเวลาเต็มที่ให้กับงานที่ทุ่มเทมาตั้งแต่แรก

 

'นักลงทุนรายใหญ่' ยอมรับว่า กำลังมองหาหุ้นตัวใหม่ๆ เข้ามาเติมในพอร์ต วิธีการหาข้อมูล คือ หากมีเวลาจะเดินทางไปฟังแผนงานของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหลักการนี้จะทำให้เห็นภาพธุรกิจได้ง่ายมากขึ้น ที่สำคัญสามารถนำมาปรับใช้ในกิจการของตัวเองได้ด้วย

 

เป้าหมายการลงทุนแต่ละปีอยู่ที่เท่าไหร่ เขา ตอบว่า ผลตอบแทนที่ดีควรชนะตลาด ตัวแปรสำคัญ คือ ควรเลือกบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีกว่าเดิม ไม่ใช่ที่มีฐานะเท่าเดิม ซึ่งตลาดหุ้นยังมีหุ้นลักษณะนี้อีกมาก สะท้อนผ่านผลประกอบการในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หุ้นหลายตัวสร้างผลงานได้ดีกว่าที่ประเมิน

 

'ผมเป็นนักลงทุนระยะยาว ในอนาคตยังคงลงทุนต่อเนื่อง เพียงแต่ต้องรู้จักแบ่งสัดส่วนการลงทุนในเหมาะสม ส่วนไหนควรทำเอง ส่วนไหนควรมีคนดูแล เพื่อผลตอบแทนที่ตรงเป้าหมาย ท่ามกลางความผันผวนของตลาดเงินตลาดหุ้น และเศรษฐกิจโลก'



๐'ทองคำ-อสังหาฯ' สินทรัพย์กระจายความเสี่ยง

 

'จเรศักดิ์' ทิ้งท้ายบทสนทนา ด้วยการเล่าเรื่องการลงทุนใน 'ทองคำ' ว่า ปัจจุบันแบ่งเงินไปลงทุนทองคำเพียง 1% เริ่มต้นลงทุนจริงๆ หลังเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2544 ได้เพียง 2 วัน คุณแม่จูงมือไปซื้อทองคำที่เยาวราช น้ำหนัก 1,000 บาท ในราคาบาทละ 5,900 บาท ใช้เงินซื้อทั้งสิ้น 5.9 ล้านบาท

 

ถือทองคำแท่งชุดนั้น มาตั้งแต่ปี 2544 ไม่เคยขายออกจนกระทั่งวันนี้ แม้ช่วงระยะหนึ่งราคาทองจะทะยานแตะระดับ 29,000 บาท ด้วยความที่ทองคำไม่เคยจ่ายปันผล และไม่เคยมีผลตอบแทนที่คุ้มค่าในช่วงหลัง ทำให้ไม่คิดจะลงทุนไปมากกว่านี้ นำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะดีกว่า ยึดคติที่ว่า 'ลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง' 

 

ที่ผ่านมายังลงทุนใน 'อสังหาริมทรัพย์' ด้วย แต่จะเป็นในลักษณะซื้อที่ดินมา เพื่อปลูกอยู่เอง หรือซื้อคอนโดมิเนียม ตามแหล่งท่องเที่ยว เพื่อนำมาปล่อยเช่า เช่น เชียงใหม่,พัทยา,บางแสน, หัวหิน, ภูเก็ต, เขาใหญ่ เป็นต้น

 

ส่วนคอนโดมิเนียมปล่อยเช่าในกรุงเทพ ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 10 แห่ง เช่น สาทร,สุขุมวิท และลาดพร้าว เป็นต้น ซึ่งผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ถือว่า 'ติบลบ' เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรักษา , ค่าเสื่อม และค่าส่วนกลาง เป็นต้น

 

อสังหาริมทรัพย์ ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ในภาวะเช่นนี้..


knowledge_trader