ห้องเม่าปีกเหล็ก

รู้จักเครื่องมือทางเทคนิค P/BV Ratio (พีบีวี) คืออะไร สำคัญกับการเลือกหุ้นยังไง?

โดย Pnatv
เผยแพร่ :
73 views

หลังจากที่ผมได้แนะนำเครื่องมือทางเทคนิค P/E ratio ไปสำหรับมือใหม่เพื่อเป็นพื้นฐานในการเข้าใจหุ้นแล้วนั้น วันนี้ผมจะมาแนะนำเครื่องมืออีกเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ดูความถูกแพงของหุ้นกันครับ

 

P/BV ratio คือ price to book value ratio โดย P/BV เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่จะเปรียบเทียบราคาหุ้นปัจจุบัน และมูลค่าตามบัญชีของบริษัท โดยการนำราคาหุ้นปัจจุบัน (Price) หารด้วย มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นในไตรมาสล่าสุด หรือ Book Value per Share (BVPS) นั่นเอง 

โดยปกติแล้วนักลงทุนสามารถหา Book Value ของบริษัทได้สองแบบ คือ 

  • Book Value แบบธรรมดา คือ ส่วนของผู้ถือหุ้น แต่มี Book Value อีกประเภท คือ 
  • Tangible Book Value ที่จะ ตัด สินทรัพย์ที่อาจจะไม่สามารถนำมาขายได้ออก คือตัดหรือที่เรียกว่าสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน

วิธีการคำนวน P/BV

P/BV = ราคาหุ้นล่าสุด / ( ส่วนของผู้ถือหุ้น / จำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด )

โดย ส่วนของผู้ถือหุ้น = สินทรัพย์ทั้งหมด - หนี้สินทั้งหมด

 

โดยทั่วๆไปแล้วค่า P/BV นี้ยิ่งต่ำยิ่งดี ตัวเลขมาตราฐานที่มักจะใช้เป็นฐานก็คือ 1 เท่า หากสามารถซื้อหุ้นที่มีค่า P/BV น้อยกว่า 1 ได้ก็หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท

BV หรือ Book Value แปลเป็นไทยคือ "มูลค่าตามบัญชี" ก็คือมูลค่าส่วนผู้ถือหุ้น หรือถ้าความหมายจริงๆ ก็คือ มูลค่าของทรัพย์สินที่หักด้วยหนี้สินแล้ว เหลือเป็นมูลค่าของผู้ถือหุ้นเท่าไร 

เนื่องจากเป็นมูลค่าทางบัญชี มันจึงเกิดปัญหาขึ้นมาคือ การลงบัญชีนั้นแต่ละบริษัทอาจบันทึกสินทรัพย์และหนี้สินแตกต่างกันไป เช่นสินทรัพย์ถูกกำหนดให้บันทึกมูลค่าที่ราคาทุน คือราคาที่ได้สินทรัพย์นั้นมา บางบริษัทมีที่ดินที่บันทึกไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พอมาถึงปัจจุบันมูลค่าของที่ดินเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว แต่มูลค่าที่บันทึกลงในบัญชีนั้นยังมีมูลค่าเท่ากับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หากไม่มีการประเมินมูลค่าและบันทึกบัญชีใหม่มูลค่าก็ยังคงบันทึกเอาไว้เท่าเดิม

มูลค่าทางบัญชีนี้ถ้าหากเราเข้าใจลึกซึ้งก็สามารถช่วยให้เราค้นพบบริษัทที่น่าลงทุนได้ไม่ยาก

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทมีเครื่องจักรผลิตสินค้าอยู่เครื่องหนึ่ง สามารถผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี พอเวลาผ่านไป มีผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันออกมาขายมากๆ เข้า ผลกำไรที่เคยมีกลับกลายเป็นผลขาดทุน บางบริษัทคู่แข่งทนไม่ไหวเลิกกิจการไประหว่างยังขาดทุน ส่วนบริษัทยังทนผลิตสินค้าต่อไป แน่นอนราคาหุ้นของบริษัทคงต้องตกลงมาอย่างหนัก 

และถ้าหากตกลงมามากๆ เมื่อเทียบกับมูลค่าของเครื่องจักรแล้วละก็ดูให้ดีๆ เลยครับ เพราะถ้าเราสร้างเครื่องจักรใหม่อาจต้องใช้เงินทุนมากกว่าราคาหุ้นตอนนั้นแน่นอน 

ฉะนั้นหุ้นของบริษัทนั้นจึงถือได้ว่าถูกมากๆ เมื่อเทียบกับราคาที่จะต้องไปลงทุนสร้างเครื่องจักรใหม่ เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตที่ราคาหุ้นปิโตรเคมีบางบริษัทต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และต่ำกว่ามูลค่าสร้างโรงงานใหม่มาก พอธุรกิจกลับมาเริ่มมีกำไร ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นหลายเท่าตัว 

กลับมาดูความหมายของ PBV กันต่อครับ PBV = ราคาหุ้นปัจจุบัน / มูลค่าทางบัญชี หรือ PBV = P0 / Book Value 

Book Value = Equity (ส่วนผู้ถือหุ้น) 

เอากำไรสุทธิหรือ Net income หรือ Earning เข้ามาคูณและหารไปพร้อมๆ กัน เราจะได้สูตรใหม่ ดังนี้ 

PBV = (Price x Earning) / (Equity x Earning) 

จับคู่ใหม่ให้เห็นชัดๆ คือ PBV = {Price / Earning) x {Earning / Equity) เราจะได้ สูตรใหม่ดังนี้ 

PBV = PE x ROE 

สูตรนี้บอกเราว่าค่า PBV ถูกกำหนดด้วยค่าสองค่าคือ PE และ ROE (อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น) เรื่อง PE ผมกล่าวไปแล้วเมื่อคราวที่แล้ว ส่วน ROE นั้นค่านี้บอกเราว่าบริษัทเอาเงินทุนที่ได้จากผู้ถือหุ้นไปลงทุนแล้วสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่าหรือไม่ 

คราวนี้เรามาดูว่า หุ้นที่ PBV มีค่าสูงค่าต่ำนั้นบ่งบอกอะไรบ้าง 

หุ้นที่ PBV ต่ำ PE สูง ROE ต่ำ เป็นหุ้นที่อาจมีมูลค่าเกินพื้นฐานไปแล้ว เพราะ PE สูงแต่กลับให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำ มันจึงมาสะท้อนออกที่ PBV 

หุ้นที่ PBV ต่ำ PE ต่ำ ROE สูง อาจเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง (สะท้อนออกทาง PE) หรืออาจจะมีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน อันนี้ต้องเข้าไปดูรายละเอียดการดำเนินงานของบริษัท ถ้าธุรกิจดี ไม่เสี่ยงอย่างที่ตลาดคิดก็น่าลงทุนมาก 

หุ้นที่ PBV สูง PE สูง ROE ต่ำ หุ้นแบบนี้อันตรายมาก เพราะผลตอบแทนผู้ถือหุ้นต่ำ PE กลับสูง และเชื่อว่าต้องสูงมากถึงสามารถดึง PBV ให้สูงตามไปด้วย 

หุ้นที่ PBV สูง PE ต่ำ ROE สูง หุ้นแบบนี้อาจเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง หรือความไม่แน่นอนของการทำกำไรไม่แน่นอน หรือบางครั้งราคาสูงเกินมูลค่าไปแล้วก็ได้ เพราะผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงมาก แต่ PE กลับต่ำมาก การที่ ROE สูงอาจเป็นเพราะมีหนี้สินมากกว่าทุนมากๆ ก็ได้ แน่นอนครับว่าหนี้สินมากๆ ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย

อย่างไรก็ดีผมไม่แนะนำว่าการดูเครื่องมือใดๆอย่างเดียวโดยไม่สนใจข่าวสาร ราคา แนวโน้มต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะครับ ขอให้รอบคอบและใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อทุกครั้งนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก สอนหุ้นดอทคอม

 


Pnatv