บทวิเคราห์การเข้าซื้อเทสโก้ของ CPALL ครับ
UPDATE: ‘เกินความคาดหมายและราคาค่อนข้างแพง’ มุมมองนักวิเคราะห์ต่อดีลเจ้าสัวธนินท์ชนะการประมูล ‘เทสโก้ โลตัส’ มูลค่า 3.38 แสนล้านบาท
.
สิ้นสุดเป็นที่เรียบร้อยสำหรับดีลสะเทือนวงการค้าปลีก เมื่อกลุ่ม CP ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เป็นผู้ชนะการประมูลซื้อ ‘เทสโก้ โลตัส’ ที่ก่อนหน้านี้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า “ความจริงเทสโก้ โลตัสเป็นลูกของผม ตอนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ผมขายไป ฝากให้คนอื่นเลี้ยง ในครั้งนี้เจ้าของที่เคยเลี้ยงลูกผมจะขายลูกกลับคืนมา ผมก็ต้องซื้อ”
.
นับตั้งแต่ธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Tesco ค้าปลีกรายใหญ่ของอังกฤษได้ออกมาเปิดเผยถึงทิศทางความเป็นไปได้ที่จะขายธุรกิจในไทยและมาเลเซีย กลายเป็นสิ่งที่หลายคนจับตาว่าดีลนี้จะเคาะราคาออกมาที่เท่าไร เบื้องต้นถูกประเมินที่ 2.1 แสนล้านบาท ก่อนขยับมาเป็น 2.7 แสนล้านบาท และตัวเลขล่าสุดก่อนปิดดีลคือ 3.14 แสนล้านบาท
.
แต่ที่สุดแล้วเจ้าสัวธนินท์ได้เข้ามาเคาะในราคา 3.38 แสนล้านบาท โดยให้บริษัทในเครือ 3 แห่งมาเป็นหุ้นส่วนในการซื้อ ได้แก่ ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง 40%, CP ALL ที่มี เซเว่น อีเลฟเว่นและแม็คโครอยู่ในมืออีก 40% ที่เหลือ CPF ที่ทำธุรกิจอาหารและการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายอีก 20% โดยเป็นการลงทุนผ่านบริษัทลูก ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง
.
เอกสิทธิ์ คุณาดิเรกวงศ์ นักวิเคราะห์หุ้น การพาณิชย์ การท่องเที่ยว และการขนส่ง (อากาศ) บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด บอกกับ THE STANDARD ว่า การที่ CP ได้ไปถือเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย เพราะคาดว่ากลุ่ม TCC ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี น่าจะเป็นผู้ที่ทุ่มสุดตัวในการเป็นเจ้าของ เพราะสามารถสร้างความแข็งในธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตซึ่งมีบิ๊กซีอยู่ในมือ
.
ที่สำคัญราคาที่เคาะออกมานี้ “ค่อนข้างมีราคาที่แพงอยู่เหมือนกัน เมื่อเทียบกับตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ได้หวือหวาเหมือนเดิมอีกแล้ว รวมไปถึงเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง”
.
ส่วนกลุ่ม Central ของตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่ปรากฏชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ยื่นข้อเสนอตามที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานออกมาเป็นระยะ ทั้ง Financial Times หรือ Bloomberg เอกสิทธิ์ให้ความเห็นว่า จากการประเมินตั้งแต่แรกมองว่า กลุ่ม Central อาจจะไม่ได้สนใจ เพราะ Central มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการไปโตในตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เวียดนาม
.
จากจดหมายที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของทั้ง CP ALL และ CPF คาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งปีหลัง 2563 ซึ่งสาเหตุที่ใช้เวลานานเพราะต้องรออนุมัติจากคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเสียก่อน
.
เอกสิทธิ์ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ขึ้นอยู่กับการตีความของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าว่าจะนับรวมตลาดไหนเข้ามาบ้าง เพราะข้อมูลจาก Euromonitor ระบุ ตลาดค้าปลีกปี 2561 มีมูลค่าทั้งหมด 3.67 ล้านล้านบาท เจาะลงไปมีกลุ่มหลักๆ คือ ร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) 1.887 ล้านล้านบาท และร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) 8.78 แสนล้านบาท
.
“ในร้านค้าสมัยใหม่ยังแบ่งเป็นร้านสะดวกซื้อ 3.57 แสนล้านบาท และไฮเปอร์มาร์เก็ต 2.85 แสนล้านบาท เมื่อมองค้าร้านค้าปลีกที่ CP มีอยู่ในมือ รวมกับเทสโก้ โลตัสแล้ว หากนำมารวมกันทั้งหมดจะยังไม่ถึง 50% ของช่องทาง Traditional Trade และ Modern Trade รวมกัน ก็สามารถตีความว่าไม่ผูกขาดได้เช่นเดียวกัน”
.
สำหรับมูลค่าของดีลนี้ 3.38 แสนล้านบาท หรือ 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ธุรกิจในไทยมูลค่า 9.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขสิ้นสุด 23 กุมภาพันธ์ 2562 มีสาขาทั้งสิ้น 1,967 แห่ง และธุรกิจในมาเลเซียมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสาขาทั้งสิ้น 68 แห่ง
.
จริงๆ แล้วหากเจาะผลประกอบการของธุรกิจในมาเลเซียจะพบว่า มีทั้งขาดทุนและกำไรสลับกัน แต่ปี 2562 ขาดทุนเสียด้วยซ้ำ แต่ที่กลุ่ม CP ต้องซื้อมาด้วยเป็นเพราะ Tesco แสดงความจำนงว่าจะขายรวมกัน ไม่ขายแยกกัน
.
รายได้และกำไรของธุรกิจ Tesco ในมาเลเซีย
ปี 2560 มูลค่า 33,085 ล้านบาท ขาดทุน 1,046 ล้านบาท
ปี 2561 มูลค่า 33,453 ล้านบาท กำไร 174 ล้านบาท
ปี 2562 มูลค่า 33,551 ล้านบาท ขาดทุน 339 ล้านบาท
.
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม CP ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ว่าเมื่อซื้อไปแล้วจะมีการผนึกกำลังกับธุรกิจในเครือ หรือมีทิศทางการทำธุรกิจอย่างไรบ้าง จนกว่าการซื้อขายจะสิ้นสุดลงในช่วงครึ่งปีหลัง 2563
.
ทั้งนี้หลังออกจากไทยและมาเลเซีย Tesco จะเหลือธุรกิจเฉพาะยุโรปเท่านั้น ประกอบไปด้วยร้านค้าในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ 3,769 แห่ง และสาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกีย ฮังการี และโปแลนด์ รวมกันอีก 895 แห่งเท่านั้น