บมจ.กัลฟ์ ฯ พาโรงไฟฟ้ากัลฟ์ทะลุ 11,910 MW
ทั้งปีนี้และปีหน้า ภาพนักธุรกิจด้านพลังงานไทยเริ่มส่งสัญญาณหันไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
อนาคตด้านพลังงานไทยยังไม่มีท่าทีการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) ในระยะนี้อย่างแน่นอน จึงทำให้ไฟฟ้าในประเทศไทยล้น
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “สารัชถ์ รัตนาวะดี ( sarath ratanavadi ) ” กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ถึงทิศทางการลงทุนธุรกิจพลังงานทั้งในและต่างประเทศ
ตามที่ได้ปรากฏ ก่อนหน้านี้ บมจ. กัลฟ์ฯ ได้เจรจาการร่วมทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 340 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุน 650 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับ นักธุรกิจชาวเวียดนาม ได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาผู้ถือหุ้น กับนักธุรกิจเวียดนาม คือ นางฮวิน บิค ง็อค นักธุรกิจขนาดใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจพลังงาน ทำให้ปัจจุบัน บมจ. กัลฟ์ฯ ได้มีการลงทุนโรงไฟฟ้า 33 โรง ใน 3 ประเทศ และมีกำลังผลิตติดตั้ง รวม 11,910 เมกะวัตต์
โดยมีลูกค้าตามกำลังผลิตในประเทศ กฟผ. 88% แบ่งเป็นธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4 โรง ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3 โรง และธุรกิจอื่นโดยมีพันธมิตร อาทิ WHA มิตซุย ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ในปีหน้าจะได้เห็นภาพการเติบโตจากการลงทุนในประเทศ โดยมีเป้าหมายทั้งโอมานและเวียดนาม และยังคงต้องจับตาการลงทุนของ บมจ. กัลฟ์ฯ ในอีกหลายๆ ประเทศด้วย
ล่าสุด การประชุมผู้ถือหุ้น กัลฟ์ GULF ครั้งที่ 1/2562 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บอร์ดได้อนุมัติให้บริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน หนึ่งหมื่นล้านบาท อายุ 10 ปี โดยจะนำส่วนหนึ่งไปไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิม ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนกลางปีหน้า ประมาณหกพันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะนำมาใช้เพื่อการลงทุนอื่น ๆ โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ ที่เน้นไปที่ประเทศโอมาน มูลค่า 483 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ กำลังผลิตติดตั้ง 326 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2565
โดยบริษัท ได้มองถึงโอกาสที่จะเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้ากลุ่มประเทศ CLMV รวมถึง การสร้างโรงไฟฟ้าที่เวียดนามอีก 4 โครงการ โดยตั้งเป้าไว้ว่า รายได้ในปี พ.ศ. 2562 จะเติบโต 60% ประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 2 หมื่นล้านบาท
โดยปัจจัยหลัก มาจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ใหม่ ที่จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) 5 โรง กำลังการผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าในประเทศ 4 โรง ใน 3 จังหวัด คือ สระบุรี ระยอง โคราช และโรงไฟฟ้าในเวียดนาม อีก 2 โรง ซึ่งหมายความว่ากำลังการผลิตปีหน้าจะสูงขึ้น เป็น 2,667 เมกะวัตต์ จากปีนี้ที่ 2,200 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ในปีนี้และในปีหน้า บริษัท กัลฟ์ฯ มองเห็นโอกาสในการลงทุนใน CLMV ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนโรงไฟฟ้าใน เวียดนาม เมียนมา และ สปป.ลาว ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งบริษัท กัลฟ์ฯ ได้เตรียม งบฯลงทุนระยะ 5 ปี (ปี พ.ศ. 2561-2565) มูลค่า 3-4 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่ จากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) กำลังผลิต 5,000 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้า SPP 3 โรง กำลังผลิต 120 เมกะวัตต์/โรง
“ค่าไฟตกไม่มีผลต่อการลงทุนปีหน้า ซึ่งยอดจะโตจากโรงไฟฟ้าเวียดนาม แต่โครงการต่างประเทศจะเน้นการลงทุนใน เวียดนามเป็นพิเศษ ทั้งโครงการ โซลาร์ฟาร์มและลม ที่ประเทศเวียดนาม น่าสนใจที่สุด เพราะเศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างมาก และมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจ เพราะฉะนั้น คงไม่จำเป็นต้องรอ PDP”
ส่วนแผนการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศไทย บริษัท กัลฟ์ฯ มีแผนจะขยายโรงไฟฟ้าในประเทศต่อเนื่องจน ถึงปี พ.ศ. 2567 แต่ยังต้องรอแผน PDP ฉบับใหม่ออกมาให้ชัดเจนก่อน ซึ่งคาดว่าจะเป็นในช่วงต้นปี พ.ศ. 2562 จึงจะเห็นภาพการลงทุนในประเทศไทยที่ชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า ประกอบกับการที่บริษัทเข้าซื้อซองประกวดราคาโครงการลงทุนของภาครัฐในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง และท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 นั้น อยู่ระหว่างพิจารณาศึกษาโอกาสในการลงทุนในพื้นที่ EEC เท่านั้น จึงยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะเข้าไปลงทุนหรือไม่อย่างไร
แต่ทั้งหมดนี้ฟันธงได้ว่า รายได้ในช่วง 3-5 ปี จากนี้จะเห็นการเติบโต 2 หลักเรื่อย ๆ ถึงในปี พ.ศ. 2564 บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท