”Moment of Truth" ตลาดหยุดชั่งใจระหว่าง "ความหวัง" กับ "หายนะ" ขณะที่อินเดียส่อแววโดนภาษี 20-25% | Podcast Available
หลังจากที่เราได้เห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ วิ่งขึ้นทำสถิติใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องจนใจชื้นกันถ้วนหน้า ในที่สุดดัชนี S&P 500 ก็ต้องขอพักหายใจสักครู่ โดยหยุดสถิติการปิดบวก 6 วันรวดลง ด้วยการปรับตัวลดลง 0.3% เช่นเดียวกับดัชนี Dow Jones ที่ลดลง 0.5% ในวันเดียวกัน
ส่วนพันธบัตรรัฐบาล (Bonds) ที่ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยกลับได้รับความนิยมมากขึ้น สะท้อนได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่ลดลงถึง 9 basis points มาอยู่ที่ 4.32%
แต่การพักตัวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการ "หยุดหายใจ" ธรรมดาๆ นะคะ แอดมองว่ามันคืออาการของตลาดที่กำลังยืนอยู่บน "ทางแยก" ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และกำลังชั่งน้ำหนักอย่างหนักระหว่างความหวังกับความกังวล
วันนี้เราจะมาเจาะดูกันเลยค่ะว่ามีปัจจัยอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังบ้าง และทำไมนักวิเคราะห์ถึงบอกว่านี่คือ "ช่วงเวลาแห่งความเป็นจริง" (Moment of Truth) ของตลาด

"Data Deluge": เมื่อ Fed และตลาดโลกรอข้อมูลตัดสินชะตา
ประเด็นที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้ คือการที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed และ "ข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่" ที่เรียกว่า "Data Deluge" ซึ่งหมายถึงการที่ข้อมูลสำคัญๆ ถูกปล่อยออกมาพร้อมกันในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของ Fed
ตอนนี้ Fed กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนค่ะ ด้านหนึ่ง ตลาดแรงงานเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ Fed ควร "ลดดอกเบี้ย" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อีกด้านหนึ่ง ข้อมูลล่าสุดกลับชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนกรกฎาคมกลับเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับความกังวลเรื่องเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน นี่จึงเป็นโจทย์ยากของประธาน Fed อย่างคุณเจอโรม พาวเวลล์ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
คุณ Bret Kenwell จาก eToro มองว่า "ผู้บริโภคและภาคธุรกิจยังคงแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความยืดหยุ่นในการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ" แต่เขาก็ย้ำว่า "เรายังไม่ได้เจอกับบททดสอบหลักของสัปดาห์นี้เลย" ซึ่งก็คือการประชุม Fed และรายงานตัวเลขการจ้างงานในวันศุกร์นั่นเอง
เจาะลึกข้อมูล "Hard Data" ที่ตลาดรอคอย
คำว่า "Hard Data" หรือข้อมูลที่จับต้องได้ กลายเป็นคำที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากกว่าแค่ข่าวหรือคำพูดลอยๆ ของนักการเมืองไปแล้วค่ะ และข้อมูลที่ว่านี้ก็คือ:
รายงาน JOLTS (Job Openings and Labor Turnover Survey)
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าตำแหน่งงานว่างในเดือนมิถุนายนลดลงมาอยู่ที่ 7.44 ล้านตำแหน่ง จาก 7.71 ล้านตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า การลดลงนี้เกิดขึ้นในหลายกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่บริการที่พักและอาหาร, สุขภาพ ไปจนถึงการเงินและการประกันภัย
ที่น่าสนใจคือ อัตราการจ้างงานชะลอตัวลงสู่ระดับ 3.3% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน และคนก็ลาออกจากงานโดยสมัครใจน้อยลง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าคนเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะหางานใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน
ขณะที่อัตราส่วนตำแหน่งงานว่างต่อคนว่างงาน ซึ่ง Fed ใช้ดูความตึงตัวของตลาดแรงงาน ตอนนี้อยู่ที่ 1.1 ต่อ 1 (มีงาน 1.1 ตำแหน่งสำหรับคนว่างงาน 1 คน) ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุดที่เคยอยู่ที่ 2 ต่อ 1 ในปี 2022
รายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคม (Jobs Report): จะออกมาในวันศุกร์นี้ และเป็นตัวเลขที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งที่ Fed จะใช้พิจารณา
ตัวเลข GDP และเงินเฟ้อ (PCE): ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยประกอบภาพรวมเศรษฐกิจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คุณ Luis Alvarado จาก Wells Fargo Investment Institute สรุปไว้อย่างดีว่า "Fed จะยังคงรอดูสถานการณ์ไปก่อน จนกว่า 'ข้อมูลจริง' จะเริ่มยืนยันเรื่องราวการชะลอตัวของเศรษฐกิจ"
สงครามการค้าหลายสมรภูมิ: ไม่ใช่แค่จีน แต่ซับซ้อนกว่าที่คิด
ความไม่แน่นอนเรื่องการค้ายังคงเป็นเงาที่ปกคลุมตลาดอยู่ แต่ตอนนี้มันไม่ได้มีแค่เรื่องของสหรัฐฯ-จีนแล้ว แต่ขยายวงไปหลายสมรภูมิพร้อมๆ กันค่ะ
สหรัฐฯ-จีน: เกมการเจรจาที่ยังไม่จบ
การเจรจาเพื่อขยายเวลา "พักรบภาษี" ที่กำลังจะหมดอายุในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้ายังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้นที่กรุงสตอกโฮล์ม แม้จะมีข่าวหลุดออกมาจากฝั่งจีนว่าตกลงขยายเวลาพักรบได้แล้ว
แต่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นายสก็อต เบสเซนต์ (Scott Bessent) ก็รีบออกมาเบรกว่า "ผมคิดว่าเพื่อนร่วมงานชาวจีนของเรารีบร้อนไปหน่อย" และย้ำว่าทุกอย่างต้องรอการตัดสินใจสุดท้ายจากประธานาธิบดีทรัมป์เท่านั้น ประเด็นที่คุยกันนั้นลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องภาษี แต่ยังรวมถึงการเข้าถึงวัตถุดิบสำคัญอย่าง "แร่แรร์เอิร์ธ" และ "แม่เหล็ก" ที่สหรัฐฯ ต้องการให้จีนรับประกันว่าจะไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองอีก
สหรัฐฯ-รัสเซีย: เส้นตาย 10 วันที่ดันราคาน้ำมัน
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างแรงกดดันครั้งใหม่ โดยให้เวลา รัสเซียอีกเพียง 10 วัน เพื่อหาข้อตกลงหยุดยิงในยูเครน หากไม่ทำตามก็พร้อมจะใช้มาตรการภาษี ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ "ภาษีทุติยภูมิ" (Secondary Levies) คือการลงโทษประเทศที่ยังซื้อสินค้ารัสเซีย โดยเฉพาะน้ำมัน ซึ่งอาจกระทบไปถึงจีนและอินเดียโดยตรง ข่าวนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นทันที 4% ทะลุ $69 ต่อบาร์เรล เพราะตลาดกังวลว่าอุปทานน้ำมันอาจตึงตัว
สหรัฐฯ-อินเดีย: กำแพงภาษีที่ยังสูง
การเจรจาการค้ากับอินเดียก็ยังไม่ราบรื่น นายเจมีสัน เกรียร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า "เรายังต้องเจรจากับเพื่อนชาวอินเดียอีกเพื่อดูว่าพวกเขาต้องการจะทะเยอทะยานแค่ไหน" เขาชี้ว่านโยบายการค้าของอินเดียเน้นการปกป้องตลาดในประเทศมาอย่างยาวนาน ทำให้การเปิดตลาดเป็นเรื่องใหญ่
ส่วนทางประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับเปรยว่าอินเดียอาจต้องเจอกับภาษีในอัตรา 20% ถึง 25% ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในอินเดียแล้ว โดยผู้ผลิตสิ่งทออย่าง Kanodia Global เผยว่าลูกค้าอย่าง Walmart เริ่มชะลอการสั่งซื้อล็อตใหญ่เพื่อรอดูความชัดเจน
มุมมองนักลงทุนและภาพสะท้อนจากผลประกอบการบริษัท
พอเห็นภาพใหญ่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแล้ว คราวนี้เรามาลองฟัง "เสียงของภาคธุรกิจ" ผ่านผลประกอบการไตรมาสล่าสุดกันดีกว่าค่ะ แอดบอกเลยว่านี่คือการเช็ค "ชีพจรเศรษฐกิจ" ที่ดีที่สุด และมันสะท้อนภาพที่ผสมปนเปกันอย่างชัดเจน
กลุ่มที่เผชิญลมต้านและความท้าทาย
มีหลายบริษัทที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากจากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและความผันผวนของเศรษฐกิจ
Starbucks: ยักษ์ใหญ่ร้านกาแฟมีผลกำไรและยอดขายที่ออกมา "ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก" ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแผนฟื้นฟูธุรกิจด้วยการเร่งความเร็วในการบริการและปรับปรุงบรรยากาศร้าน "ยังไม่เกิดผล"
United Parcel Service (UPS): บริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ระบุว่า "ความผันผวนทางเศรษฐกิจยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง" สะท้อนความท้าทายในการปรับโครงข่ายธุรกิจ
UnitedHealth Group: บริษัทประกันสุขภาพยักษ์ใหญ่สร้างความประหลาดใจให้ตลาดด้วยการ "ปรับลดคาดการณ์กำไรลงอย่างมาก ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ทุกคนคาด" แถมผู้บริหารยังไม่กล้ายืนยันเป้าหมายการเติบโตระยะยาวที่เคยให้ไว้กับนักลงทุนด้วย
Novo Nordisk: บริษัทผู้ผลิตยาลดความอ้วนชื่อดังเจอปัญหาใหญ่ "ยอดขายยาลดความอ้วนตกต่ำ" จนต้องปรับลดคาดการณ์กำไร ซึ่งส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทหายไปถึง 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ และต้องเปลี่ยนตัว CEO เลยทีเดียว
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายการค้า
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่านโยบายการค้าส่งผลกระทบโดยตรงถึงภาคธุรกิจอย่างไร
Whirlpool: ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า "หุ้นร่วงหนัก" หลังจาก "ความไม่แน่นอนเรื่องภาษีทำลายผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ" จนบริษัทต้องตัดสินใจ "ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการและเงินปันผล" เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
PayPal: ผู้ให้บริการชำระเงินรายงาน "การเติบโตของปริมาณการชำระเงินที่ชะลอตัวลง" โดยผู้บริหารกล่าวว่ากำลังเห็น "การใช้จ่ายในกลุ่มค้าปลีกที่อ่อนตัวลง อันเป็นผลมาจากสงครามภาษีของสหรัฐฯ"
Procter & Gamble (P&G): สินค้าอุปโภคบริโภคที่เราคุ้นเคยกันดี ออกคาดการณ์ยอดขายประจำปีที่ "มีช่วงกว้างกว่าปกติ" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง "ความผันผวนที่บริษัทในสหรัฐฯ ยังคงต้องเผชิญ" แม้ว่าจะเริ่มมีการทำข้อตกลงทางการค้าบ้างแล้วก็ตาม
กลุ่มที่ยังเติบโตแข็งแกร่งและมีข่าวดี
ท่ามกลางความกังวล ก็ยังมีบริษัทที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยมและมีข่าวดีเข้ามา
Visa: ยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินมี "ผลกำไรไตรมาส 3 สูงกว่าที่ Wall Street คาดการณ์" โดยมีการเติบโตของการใช้จ่ายข้ามประเทศและการประมวลผลธุรกรรมเป็นตัวเลขสองหลัก
JetBlue Airways: สายการบินรายงาน "ผลขาดทุนน้อยกว่าที่คาดการณ์" เนื่องจากความต้องการเดินทางฟื้นตัวและความพยายามในการพลิกฟื้นธุรกิจเริ่มเห็นผล
Boeing: ผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ "เกือบจะหยุดภาวะขาดทุนกระแสเงินสดได้แล้วในไตรมาส 2" เป็นสัญญาณว่าแผนการฟื้นฟูเริ่มได้ผลจากการส่งมอบเครื่องบินที่มากขึ้น
Sarepta Therapeutics: หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นหลังจาก "หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กลับลำ" และแนะนำให้ผู้ป่วยที่ยังเดินได้สามารถกลับมารับการรักษาด้วยยีนบำบัด Elevidys ของบริษัทได้อีกครั้ง
กลุ่มดีลยักษ์และการลงทุนแห่งอนาคต
และในขณะเดียวกัน ก็มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในระยะยาวและทิศทางของอนาคต
ดีลแห่งประวัติศาสตร์วงการรถไฟ: Union Pacific ตกลงเข้าซื้อกิจการ Norfolk Southern ในดีลมูลค่ามหาศาลถึง 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้เกิด "บริษัทรถไฟข้ามทวีปเพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ" นับเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมนี้
เดิมพันกับพลังงานและเทคโนโลยี: Baker Hughes ตกลงซื้อ Chart Industries ด้วยเงินสด 9.6 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายธุรกิจไปสู่ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG), ศูนย์ข้อมูล (Data Centers) และเทคโนโลยีอื่นๆ
สงครามการเงินและเทคฯ: มีรายงานว่า JPMorgan Chase กำลังเจรจาขั้นสูงเพื่อเข้ามาเป็นพันธมิตรบัตรเครดิตร่วมกับ Apple แทนที่ Goldman Sachs และ Microsoft ก็กำลังเจรจาขั้นสูงเพื่อทำข้อตกลงที่จะทำให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของ OpenAI ได้อย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมจากผลประกอบการเหล่านี้แสดงให้เห็นเศรษฐกิจที่ไม่ได้ดีทั้งหมดหรือแย่ทั้งหมด แต่เป็นภาพของ "K-Shaped Recovery" ที่บางกลุ่มธุรกิจรุ่งเรือง ในขณะที่อีกหลายกลุ่มกำลังดิ้นรนอย่างหนักค่ะ
บทสรุปส่งท้าย
การพักตัวของตลาดในครั้งนี้จึงมีความหมายลึกซึ้งกว่าแค่การพักหายใจธรรมดาค่ะ มันคือช่วงเวลาที่ตลาดกำลังประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนจากทุกทิศทาง ทั้งนโยบายการเงิน, ข้อมูลเศรษฐกิจจริง, การเมืองระหว่างประเทศ และผลประกอบการที่ออกมาหลากหลายรูปแบบ
สำหรับเพื่อนๆ นักลงทุนแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ต้อง "ตั้งการ์ดสูง" ค่ะ ไม่ได้หมายความให้ตื่นตระหนก แต่หมายถึงการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ทำความเข้าใจความเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ และยึดมั่นในแผนการลงทุนระยะยาวของตัวเอง ความผันผวนอาจสร้างความกังวลในระยะสั้น แต่สำหรับคนที่เข้าใจภาพใหญ่ มันอาจเป็นโอกาสที่รอคอยอยู่ก็เป็นได้ค่ะ
ขอบคุณเนื้อหาที่มาจาก.. Beauty Investor