ไตรมาสแรกปี66 ธนาคารพาณิชย์ 10แห่งแห่ตั้งสำรองเพิ่ม 18.66%
ไตรมาสแรกปี2566 ธนาคารพาณิชย์ 10แห่งโชว์แกร่งไตรมาส1ปี66 แห่ตั้งสำรองกว่า 5.18หมื่นล้านบาทเพิ่ม 18% หวังเป็นกันชนเผชิญความเสี่ยงในระยะข้างหน้า หลังกำไรรวม 60,281ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.33%
ธนาคารพาณิชย์ 10แห่งเปิดกำไรไตรมาส 1/66 รวม 60,281ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7,092ล้านบาทหรือ 13.33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหนุนจากรายได้ดอกเบี้ย-กำไรเงินลงทุน- ส่วนใหญ่เน้นดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ขณะที่ 3ค่ายผลกำไรปรับลด หลังตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเดิดขึ้น “TISCO-CIMBT-KBANK”
เปิดกำไร 10แบงก์ไตรมาสแรกปี66 รวม 6.02หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 13.33%
ธนาคารพาณิชย์ไทย 10แห่งรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/66 มีกำไรสุทธิรวมกัน 60,281ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.33 % เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 53,189ล้านบาท แม้ส่วนใหญ่ยังตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ส่วนปัจจัยสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรมาจาก “รายได้ดอกเบี้ยสุทธิทั้งจากดอกเบี้ย “ขาขึ้น”และการขยายสินเชื่อ
โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยพบว่า 10ธนาคารพาณิชย์ตั้งสำรองฯรวม 51,809ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,149ล้านบาทหรือ 18.66%จากช่วงเดียวกันของปีที่อยู่ที่ 43,600ล้านบาท
ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) จำนวน 8,474 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 30.59%จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 6,489 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) จำนวน 8,103ล้านบาท เพิ่มขึ้น48.13%จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 5,470ล้านบาทบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) จำนวน 9,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.5%จาก 8,750ล้านบาทช่วงเดียวกันของปีก่อน และKKPตั้งสำรองฯ จำนวน 1,097ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.90%จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1,066ล้านบาท
สำหรับธนาคารกันสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตฯลดลงได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) จำนวน 5,798ล้านบาทลดลง 14.52%จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 6,783ล้านบาท ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต(TTB) ตั้งสำรองฯ4,276 ล้านบาทลดลง 10.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,808ล้านบาท ขณะที่ LHFGตั้งสำรอง 487 ล้านบาท ลดลง 4.32%จาก509ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส1ปี2566 มีเพียง 3ธนาคารที่มีผลกำไรสุทธิลดลงคือ KBANK , CIMBT และ TISCO โดยทั้ง 3ค่ายยังคงให้น้ำหนักดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังนำโดย CIMBT กันสำรองฯจำนวน 830ล้านบาทเพิ่มกว่า 128% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 364ล้านบาท รองลงมาคือ TISCO เพิ่มขึ้น 47.05%จำนวน 830ล้านบาท จาก 85ล้านบาทช่วงเดียวกันปีก่อน และตามมาด้วยKBANK จำนวน 12,692ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.95% จาก 9,336ล้านบาทช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพ(BBL)ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และสถานการณ์ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
ภายใต้ทิศทางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักความระมัดระวังรอบคอบ ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ธนาคารให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจตามแนวโน้มของสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งด้านดิจิทัลเทคโนโลยี นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสแรกสะท้อนถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น โดยธุรกิจธนาคารยังคงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์เพื่อเป็นธนาคารที่ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้จ่ายเงินปันผลในอัตรา 60% ของกำไรสุทธิปี 2565 เพื่อปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)หรือBAY กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในประเทศกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว
เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2566 โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับ 3.3% ในปี 2566
“กรุงศรียังคงรักษาเสถียรภาพด้านการเงินที่แข็งแกร่งมั่นคง ด้วยระดับเงินกองทุน ระดับการตั้งสำรอง และสภาพคล่องทางการเงินที่สูง และพร้อมเดินหน้าสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ ทั้งในกลุ่มลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย โดยธนาคารกำหนดเป้าหมายการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในปี 2566 ไว้ที่ 3-5%”