ผมว่าหุ้นที่ราคาไม่แพง ปันผลดี ต้องยกให้ PTTGC ครับ
แต่ไม่เข้าใจว่าคนเขาขายกันทำไม
ยังไงมาอ่านบทวิเคราะห์กันดีกว่า ไว้เป็นแนวทาง
*****************
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) PTTGC รายงานกำไรสุทธิ 4Q61 ที่ 4.1 พันล้านบาท หากหักรายการพิเศษ กำไรปกติอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท (-21% QoQ, -12% YoY) ใกล้เคียงคาด ส่วนแนวโน้มปี 2562 เต็มไปด้วยความท้าทายจากภาพอุตสาหกรรม และแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานครั้งใหญ่ คาดกำไรปกติปีนี้หดตัว 22% YoY แต่เป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว
เราคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2562 ที่ 76.00 บาท และคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายบน P/BV62 ที่ 1.0x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 7 ปี (ตั้งแต่เป็น PTTGC) ที่ -1.0SD แล้ว เชิงกลยุทธ์ หากราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่า Book value ที่ 68 บาท/หุ้น นักลงทุนสามารถหาจังหวะเก็งกำไรรอบสั้นได้
บล.โนมูระ พัฒนสิน มีมุมมอง Neutral ต่อผลการดำเนินงาน 4Q18 ซึ่งประกาศกำไรสุทธิ 4,061 ล้านบาท -58%YoY -68%QoQ เนื่องจาก (1) ขาดทุนสต๊อกน้ำมันรวม NRV จำนวน 6.5 พันล้านบาท (2) ราคาปิโตรเคมีภัณฑ์และค่าการกลั่นปรับตัวลง แต่ได้แรงชดเชยจากกำไรจากการซื้อกิจการ 1.3 พันล้านบาท
แนวโน้ม 2019F คาดค่าการกลั่นผันผวน จากแรงกดดันอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐและการส่งออกจากจีนในช่วง 1H19F ก่อนที่จะฟื้นตัว 2H19F จากแรงหนุนประเด็น IMO2020 ขณะที่แนวโน้ม PE ยังถูกกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นเริ่มมีความน่าสนใจให้เข้าซื้อสะสม เนื่องจาก (1) 19F Dividend Yield 5.8% (2) 19F PER และ PBV อยู่ที่ระดับ 7.71 เท่า และ 0.85 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มพลังงาน ที่ระดับ 11.8 เท่า และ 1.6 เท่า คงคำแนะนำ “BUY” Rating
บล.ทิสโก้ ระบุผลประกอบการ 4Q18 ที่ 4.1 พันล้านบาท ต่ำกว่าคาด และลดลง 68% QoQ และ 58% YoY โดยหากไม่รวมผลขาดทุนจากสต็อค 6.5 พันล้านบาท, กำไรจากค่าเงิน 252 ล้านบาท, กำไรจากการป้องกันความเสี่ยง 225 ล้านบาท และมีกำไรจากการซื้อธุรกิจ PTA/PET อีก 1.4 พันล้านบาท ทำให้กำไรปกติอยู่ที่ 9.2 พันล้านบาท โดยการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาดมาจากผลขาดทุนจากสต็อคเป็นหลัก และราคาของโอเลฟินส์ที่อ่อนแอ ทำให้ผลประกอบการทั้งปีอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY และกำไรปกติ 4.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YoY
แม้ว่าผลประกอบการจะต่ำกว่าคาดในทุกส่วน แต่การดำเนินงานของโอเลฟินส์ต่ำกว่าคาดมาก โดย EBITDA ลดลง 39% QoQ และ YoY เป็น 5.5 พันล้านบาทใน 4Q18 ซึ่งเราคาดว่ามาจากการปิด LLDPE โรงงานที่ 1 และ 2 ในเดือน ต.ค. – พ.ย. และด้วยการขายของเอทิลีนให้ภายนอกเพิ่มขึ้นทำให้ราคาขายลดลง 27% QoQ และ 26% YoY ด้านกำลังการผลิตอยู่ที่ 101% เพิ่มขึ้นจาก 98% ใน 3Q18 แต่กำลังการผลิต PE ลดลงจาก 97% เป็น 94% ในเวลาเดียวกัน
โรงกลั่นถูกกดดันจาก EBITDA ที่ลดลง 16% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 104% YoY (มีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง) โดยที่ GRM ลดลงเป็น 6.4 ดอลลาร์ใน 3Q18 และ 6.8 ดอลลาร์ใน 4Q17 เป็น 5.5 ดอลลาร์/บาร์เรลใน 4Q18 เนื่องจากอัตรากำไรของแนฟทาและรีฟอร์เมทที่ลดลง
อะโรมาติกส์ลดลงเล็กน้อย QoQ เป็น 2.2 พันล้านบาท ลดลง 9% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 34% YoY จากส่วนต่างของ BZ ที่ลดลง และอัตรากำไรของ PX-condensate ที่เพิ่มขึ้น 5% QoQ และ 57% YoY
เราคาดผลประกอบการ Q1 จะลดลงต่อ QoQ แม้ว่า LLDPE จะกลับมาดำเนินงาน แต่ราคาของผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ลดลง QoQ ทั้ง HDPE, LLDPE, LDPE ที่มีราคาลดลง 10%, 6% และ 6% ทำให้อัตรากำไรรวมลดลงต่อ ในขณะที่ด้านธุรกิจอะโรมาติกส์ อัตรากำไรของ BZ ลดลง QTD ในขณะที่อัตรากำไรของ PX คงที่ QTD
ทำให้เราแนะนำเพียง “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 80 บาท (PBV 1.1 เท่าสำหรับปี 2019F) โดยมีความเสี่ยงคือ อัตรากำไร และการปิดปรับปรุงนอกกำหนดการ