ห้องเม่าปีกเหล็ก

จับอนาคต BDMS หลังเดินเกม "ลงทุนหนัก คืนทุนนาน"

โดย Fin-trading
เผยแพร่ :
81 views
 

         BDMS เจอแรงขายต่อเนื่อง กดหุ้นทำนิวโลว์รอบ 4 เดือน นักลงทุนกังวลแผนลงทุนหนัก แต่ใช้เวลาคืนทุนนาน หลังทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซื้อปาร์คนายเลิศทำศูนย์สุขภาพครบวงจร จับตาหุ้นอาจซึมยาวตามผลการดำเนินงาน ที่คาดจะอ่อนตัว ก่อนโตก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 62 

 

         หุ้น บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS เจอแรงขายต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยวานนี้ราคาหุ้นปิดที่ 21.20 บาท เป็นระดับนิวโลว์ในรอบเกือบ 4 เดือน และมีปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้น 294% ตามโปรแกรม F6 ของ eFin Stock Pick Up 

 

         BDMS เป็นผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ของประเทศ โดยมีโรงพยาบาลเครือข่ายในไทยและกัมพูชา ดำเนินการภายใต้ชื่อโรงพยาบาล 6 กลุ่ม คือ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบี เอ็น เอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล และกลุ่มโรงพยาบาลรอยัล นอกจากนี้เครือข่ายของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ยังรวมถึงธุรกิจที่ให้การสนับสนุนด้านการแพทย์ ได้แก่ ธุรกิจห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ธุรกิจผลิตยาและธุรกิจผลิตน้ำเกลือ เป็นต้น

 

         BDMS มีกลุ่มปราสาททองโอสถ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน 20% และมีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยมากถึง 36,209 ราย

 

         ผลการดำเนินงานของ BDMS กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องตามเทรนด์ของธุรกิจโรงพยาบาล จากปี 56 มีกำไรสุทธิ 6.2 พันล้านบาท เพิ่มเป็น 7.3 พันล้านบาทในปี 57 และ 7.9 พันล้านบาท ในปี 58 ส่วนงวด 9 เดือนปี 59 มีกำไรสุทธิ  6.4 พันล้านบาท 

 

         BDMS เดินเกมขยายอาณาจักรธุรกิจโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนเปิดโรงพยาบาลสาขา ซื้อหุ้นร่วมทุนกับโรงพยาบาลอื่นๆ และซื้อกิจการ ดีลที่โด่งดังเมื่อราว 6 ปีก่อน คือการเข้าซื้อโรงพยาบาลธนบุรี ก่อนปรับโฉมเป็นสมิติเวช รวมถึงการเข้าซื้อโรงพยาบาลเปาโลจาก "วิชัย ทองแตง" ที่ใช้งบกว่า 9.8 พันล้านบาท และการเทคโอเวอร์โรงพยาบาลเมโยเมื่อปลายปี 59 ที่ผ่านมา ใช้งบราว 1.4 พันล้านบาท

 

         แต่ที่ตกเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่สุด คงต้องยกให้ดีลการเข้าซื้อโรงแรมเก่าแก่อายุ 33 ปี สวิส โฮเต็ล ปาร์ค นายเลิศ ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 10,800 ล้านบาท จากตระกูล "สมบัติศิริ" และเตรียมงบลงทุนอีกกว่า 2,000 ล้านบาท พัฒนาที่ดิน 15 ไร่ใจกลางกรุง รวมกับสิ่งปลูกสร้าง ทั้งอาคารเพอเมอนาร์ด อาคารสต๊าฟ แคนทีน เนื้อที่มากกว่า 60,000 ตารางเมตร และอาคารโรงแรม เพื่อสร้างอาณาจักรศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร BDMS Wellness Clinic โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2560 ซึ่งแม้จะเป็นโครงการที่จะสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว แต่ก็ต้องยอมรับว่าโครงการที่ใช้เวลาคืนทุนค่อนข้างนาน ย่อมกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น 

 

         บล.ทิสโก้ ระบุว่า หลังจากจัดงานโรดโชว์ที่สิงคโปร์ โดยทีมผู้บริหารพูดคุยเน้นไปที่ Wellness Center ของ BDMS พบว่านักลงทุนกังวลเรื่องการขยายธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาลของ BDMS ซึ่งผู้บริหารมองว่าเป็นส่วนของการรักษาเชิงป้องกัน 


1) ความเข้าใจในธุรกิจ 20% ใช้ฐานด้านสุขภาพเดิม (Royal Life Anti-Aging, การตรวจสุขภาพ) 


2) อุปสงค์ที่ชัดเจน บริษัทมีฐานลูกค้ากว่า 5 พันราย และการแนะนำของแพทย์ในต่างประเทศ 


3) การตั้งราคาที่สูง การให้บริการของ OPD คิดเป็นค่าบริการสูงกว่า BDMS ถึง 10 เท่า โดยการดำเนินงานจะเริ่มในช่วง 2H17 และผู้บริหารคาดธุรกิจจะมีสัดส่วนรายได้ราว 10% และมีจุดคุ้มทุนภายใน 3 ปี

 

         ผู้บริหารมองว่าจะมีโครงการแบบ Greenfield อีก 2 แห่งรวมเป็น 48 แห่ง และมี Center of Excellence 9 แห่ง และจะมีการลงทุนในโรงพยาบาลสำคัญใน 4 ด้านคือ ระบบประสาท, อุบัติเหตุ, โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ เพื่อให้บริการผู้ป่วยต่างชาติ และจากจำนวนประชากรในประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่มขึ้นทำให้เรามองว่าสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติจะเพิ่มเป็น 50%

 

         นักลงทุนได้ถามเกี่ยวกับแผนในการเพิ่ม EBITDA ซึ่งทางผู้บริหารมั่นใจว่าการขยายกิจการแบบศูนย์กลางได้ผลที่ดีจากบุคคลากรที่ชำนาญเป็นมาตรฐาน แต่ยังมีบุคคลากรในภูมิภาคนั้นๆ ที่มีความเข้าใจในวัฒนธรรม ผู้บริหารเชื่อว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของ BDMS มีความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก แม้ว่าต้นทุนของ Center of Excellence 9 แห่งจะกดดันอัตรากำไรในระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะดำเนินการได้เต็มที่ภายในไม่กี่ปี 

 

         เราแนะนำให้ “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 24.60 บาท (EV/EBITDA 24 เท่า สำหรับปี 2017F)

 

         แม้แนวโน้มกำไรของ BDMS จะอ่อนแอลงจากการลงทุนจำนวนมาก แต่ผลการดำเนินงานปี 60 นี้ ก็ยังไม่ขี้เหร่ โดยจะมีค่าฟีจากศูนย์สุขภาพบันทึกเข้ามาราวพันล้าน ขณะที่ทั้งปี 59 กำไรสุทธิก็ยังมีแนวโน้มเติบโตทะลุ 8 พันล้านบาท ก่อนจะเติบโตก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป


 
          บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง จากโรงพยาบาลในกลุ่มที่จับตลาดระดับกลาง ได้แก่บริษัทในกลุ่ม เปาโลและพญาไท ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 5 แห่ง เนื่องจากทั้งคนไข้ไทยและต่างชาติหันมาให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น พิจารณาได้จากสัดส่วนรายได้ของโรงพยาบาลระดับกลางนี้สำหรับคนไข้ต่างประเทศในรอบ 9M59 เพิ่มมาเป็น 8% จากเดิมน้อยกว่า 2% เทียบกับรายได้รวม อีกทั้งรายได้จากคนไข้ต่างประเทศในรอบ 9M59 เพิ่ม 11% y-o-y แม้ว่าเศรษฐกิจโลกไม่สดใส ถือเป็นข้อดีของ BDMS ที่มีการกระจายความเสี่ยงของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีหลาย segment

 

         การเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลเมโยใช้เงินลงทุน 1.4 พันล้านบาท ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ โดย BDMS เล็งเห็นแล้วว่าโรงพยาบาลที่จับตลาดระดับกลางไปได้ดี ทั้งนี้จะมีการเปลี่ยนแบรนด์ (rebranding) เป็น เปาโล เกษตร มีการฝึกฝนให้ได้มาตรฐานระดับเปาโล และส่งแพทย์เก่งๆไปรักษาด้วย เราเห็นว่าการที่ฐานกำไรที่ยังต่ำของเมโย และทำเลที่ตั้งที่ดีจะทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้มีอัตราการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป

 

         คาดว่าจะได้รับเงินค่าธรรมเนียม (Fee Income) 1 พันล้านบาท บันทึกในงวดปี 60 จากลูกค้าค่าสมัครศูนย์สุขภาพ (Wellness) ที่ปาร์ค นายเลิศ เริ่มต้นสมาชิก 100 รายที่จะสมัคร แบ่งเป็นคนไทย 20% และต่างประเทศ 80% สำหรับการเป็นลูกค้า IPD ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกปี 60 มีแผนที่จะเปิด The royal life clinic สำหรับคนไข้ OPD ก่อน ใช้อาคาร Promenade ส่วนคนไข้ IPD ที่จะใช้ส่วนอาคารปาร์ค นายเลิศ ที่เคยเป็นส่วนโรงแรมจะเปิดให้บริการในครึ่งหลังปี 60

 

         คงคำแนะนำ ซื้อ และราคาพื้นฐานไว้ที่ 27.50 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ยังคงมีมุมมองที่ดีกับ BDMS ในเรื่องโครงข่ายทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุด และการลงทุนขนาดใหญ่ในศูนย์สุขภาพจะส่งผลดีในระยะยาว แม้ระยะสั้นจะส่งผลกระทบในการดำเนินงานบ้าง ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลง เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุน

 

         ขณะที่ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 59 ไว้ที่ 8,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% y-y โดยระบุว่า แม้ว่าผลการดำเนินงานปี 60 จะได้รับแรงกดดันทั้งจากจำนวนรพ.ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายจากการเข้าซื้อที่ดินเพื่อดำเนินงานธุรกิจศูนย์สุขภาพครบวงจร BDMS WELLNESS CLINIC แต่ทางฝ่ายยังคงเชื่อว่ารายได้จากกิจการรพ.และกำไรสุทธิปี 60 จะขยายตัวต่อเนื่องจากจำนวนผู้เข้าใช้บริการและรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่สูงขึ้นทั้ง OPD และ IPD ตลอดจนรพ.ใหม่บางแห่งที่มีผลการดำเนินงานโตดีเกินคาด ทางฝ่ายคงประมาณการรายได้จากกิจการพ.และกำไรปี 60 ไว้ที่ 71,741 ล้านบาท และ 9,365 ล้านบาท ขยายตัว 9.7% y-y และ 11.2% y-y ตามลำดับ

 

          ในระยะสั้นการขยายการให้บริการ อาจจะทำให้บริษัทต้องแบกรับภาระทั้งค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้น แต่ทว่าในระยะยาวแล้ว คาดจะเป็นการต่อยอดธุรกิจและเสริมสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทางฝ่ายคงคำแนะนำ “ ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 60 ที่ 26.00 บ./หุ้น อิงวิธีประเมิน DCF

 

         บล.กรุงศรี ระบุว่า เราได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี FY17-19F ลง 4-5% เพื่อสะท้อนถึงดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และผลขาดทุนในช่วงแรกของ Wellness Clinics แต่เราคาดว่ากำไรน่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งถึง 21% CAGR ในช่วงปี FY18-FY20F และทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 27 บาท (จากเดิม 26 บาท)

 

         ด้านความเคลื่อนไหวของผู้ถือหุ้นใหญ่ พบว่า นายแพทย์ปราเสริฐ  ปราสาททองโอสถ ทยอยขาย BDMS ต่อเนื่องในช่วงปลายปีก่อน ภายในเดือน ธ.ค. 59 เพียงเดือนเดียว ขายหุ้นรวม 26 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 22.90 ได้เงินไปกว่า 595 ล้านบาท 

 

         อาจกล่าวได้ว่า BDMS ยังคงเป็นหุ้นดีที่พื้นฐานแข็งแกร่ง เพียงแต่ในระยะสั้นอาจถูกกดดันด้วยการลงทุนที่ใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นราคาหุ้นที่ร่วงลง อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะได้เก็บหุ้นเข้าพอร์ต แต่อาจไม่เหมาะกับนักเก็งกำไรที่ต้องการกำไรจากราคาหุ้นในระยะสั้น 


Fin-trading