6 ต่างชาติ มหาเศรษฐีหุ้นไทย ฟันเงินปันผลปี 67 รวมเฉียด 600 ล้านบาท
By อัญชลี สบายสุข
6 ต่างชาติ มหาเศรษฐีหุ้นไทย ฟันเงินปันผลปี 67 รวมเฉียด 600 ล้านบาท "ฮาราลด์ ลิงค์" ซีอีโอ BGRIM ถือหุ้นใหญ่ 2 หลักทรัพย์ มูลค่า พอร์ต 7,359 ล้านบาท รับเงินปันผลปี 2567 มากสุด 268 ล้านบาท

ในบรรดาเศรษฐีหุ้นเมืองไทยส่วนใหญ่หรือเกือบ 100% เป็นคนไทย แต่ทว่ายังมีชาวต่างชาติที่อยู่ในสถานะผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทำให้กลายเป็นเศรษฐีหุ้นเมืองไทยที่มีไม่กี่คน ซึ่งแต่ละคนก็จะได้รับเงินปันผลจากหลักทรัพย์ที่เข้าไปถือหุ้นในจำนวนที่ไม่น้อย "กรุงเทพธุรกิจ" ตรวจสอบมี 6 ต่างชาติ เศรษฐีหุ้นที่มีเม็ดเงินลงทุนรวมกันนับหมื่นล้าน ได้รับเงินปันผลรอบการดำเนินการปี 2567 รวมกว่า 596 ล้านบาท
1.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM ถือหุ้นใหญ่ 2 หลักทรัพย์ มูลค่า พอร์ต 7,359 ล้านบาท รับเงินปันผลปี 2567 ที่ 268 ล้านบาท
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM มาร์เก็ตแคป 30,761.42 ล้านบาท จ่ายเงินปันผลปี 2567 จำนวน 0.43 บาท รับเงินปันผลรวม 267 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าพอร์ตอยู่ที่ 7,333 ล้านบาท ราคาปิด ณ วันที่ 14 พ.ค.2568 ที่ 11.80 บาท
ทั้งนี้ พบว่า ฮาราลด์ ลิงค์ ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับ ได้แก่
ถือใหญ่ลำดับ 3 จำนวน 249,259,700 หุ้น สัดส่วน 9.56% รับเงินปันผล 107 ล้านบาท
ถือใหญ่ลำดับ 5 จำนวน 196,880,000 หุ้น สัดส่วน 7.55% รับเงินปันผล 85 ล้านบาท
ถือใหญ่ลำดับ 6 จำนวน 175,260,000 หุ้น สัดส่วน 6.72% รับเงินปันผล 75 ล้านบาท
บล.เอเชีย พลัส ระบุว่า หุ้น BGRIM มอง Outlook ช่วงสั้นไตรมาส 2/68 คาดกำไรปกติลดลง QoQ จากค่า Ft เดือน พ.ค.-ส.ค. ที่ลดลงอีก 17 สตางค์/หน่วย มาอยู่ที่ 19.72 สตางค์/หน่วย แต่คาดยังมีแรงหนุนบางส่วนจากปริมาณขายไฟฟ้าโดยรวมที่เพิ่มขึ้นรวมถึงแนวโน้มราคาก๊าซฯ ที่คาดอ่อนตัว QoQ
ทั้งนี้ ภาพทั้งปี 2568 คาดกำไรปกติลดลง 16.1%qoq มาอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท กดดันจากอัตรากำไรที่คาดลงลงตามทิศทางค่า Ft เฉลี่ยทั้งปีที่คาดลดเป็นหลัก โดยเบื้องต้นยังคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 15 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคงน้ำหนักการลงทุน Underperform จากปัจจัยพื้นฐานด้านผลประกอบการไตรมาส 2/68 ที่คาดลดลง QoQ และภาพใหญ่รายปีที่ยังเห็นแนวโน้มกำไรอ่อนตัว YoY
บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) AMATAV มาร์เก็ตแคป 3,240.33 ล้านบาท ถือใหญ่ลำดับ 8 จำนวน 8,762,040 หุ้น สัดส่วน 0.82% จ่ายเงินปันผลปี 2567 ที่ 0.05 บาท รับเงินปันผลที่ 438,102 บาท ณ วันที่ 14 พ.ค.2568 ราคาปิดที่ 3.04 บาท มูลค่าพอร์ต 27 ล้านบาท
ล่าสุด AMATAV แจ้งว่า บริษัทได้เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท Amata B.Grimm Power Vietnam Company Limited (ABPVN) ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ในประเทศเวียดนาม และถือหุ้นในสัดส่วน 100 % โดย บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (ABP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน หรือ AMATA และบมจ.บีกริม เพาเวอร์ หรือ BGRIMM โดย ABPVN ได้เพิ่มทุนจดทะเบียน จำนวน 25,621,933,333 เวียดนามดอง เทียบเท่ามูลค่าประมาณ 33.817 ล้านบาท และ ABP สละสิทธิ การจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บริษัททั้งหมด ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นใน ABPVN ของบริษัทเท่ากับ 25% ของทุนจดทะเบียน
2.ยิว ฮอค โคว (MR. YEW HOCK KOH) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการ บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) SISB มาร์เก็ตแคป 16,262.00 ล้านบาท ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 1 จำนวน 271,220,000 หุ้น สัดส่วน 28.85% มูลค่าพอร์ต 4,692 ล้านบาท ราคาปิด ณ วันที่ 14 พ.ค.2568 ที่ 17.30 บาท หุ้น SISB ปี 2567 จ่ายปันผล 0.42 บาท ยิว ฮอค โคว รับเงินปันผล 114 ล้านบาท
บล.กรุงศรี ระบุว่า หุ้น SISB ประมาณการกำไรสุทธิปีนี้และปีหน้าเราใช้สมมติฐานจำนวนนักเรียนใหม่ 320 คน /350 คน ตามลำดับ ต่ำกว่าเป้าหมายบริษัทปีนี้จำนวน 380 คนและปีหน้า จำนวน 400 คน (ไม่รวมสาขาใหม่) เพื่อสะท้อนความเสี่ยงปัจจัยเศรษฐกิจและความไม่มั่นใจต่อประเทศไทยของชาวจีน โดยปีนี้คาดกำไรสุทธิ 998 ล้านบาท +13%y-yเนื่องจากคาดรายได้ +10%y-y เติบโตตามจ านวนนักเรียน +6%y-y และค่าธรรมเนียมการศึกษา +4%y-y
3.อาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ และรองประธานกรรมการ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) IVL ถือหุ้นใหญ่บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) TPAC มาร์เก็ตแคป 2,710.36 ล้านบาท ถือหุ้นใหญ่ ลำดับ 1 จำนวน 225,688,192 หุ้น สัดส่วน 69.11% มูลค่าพอร์ต 1,873 ล้านบาท ราคาปิด ณ วันที่ 14 พ.ค.2568 ที่ 8.30 บาท ขณะที่เงินปันผลปี 2567 จ่ายที่ 0.38 บาท อาลก โลเฮีย รับเงินปันผล 86 ล้านบาท
ทั้งนี้ TPAC เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกคงรูป ซึ่งในปัจจุบันมีโรงงานที่เป็นฐานการผลิตทั้งสิ้น 17 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ใน 5 ประเทศ
ดังนี้
• โรงงาน 4 แห่ง ในประเทศไทย ในกรุงเทพและปริมณฑล
• โรงงาน 9 แห่งในประเทศอินเดีย ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ทิศใต้ แลัะทิศตะวันตกของประเทศอินเดีย
• โรงงาน 2 แห่ง ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
• โรงงาน 1 แห่ง ในประเทศมาเลเซีย
• โรงงาน 1 แห่ง ในประเทศฟิลิปปินส์
4.วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งเครือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หนึ่งในกลุ่มบริษัทด้านการบริการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ 2 หลักทรัพย์ มูลค่าพอร์ต 4,924 ล้านบาท ปี 2567 รับเงินปันผล 69 ล้านบาท
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) MINT มาร์เก็ตแคป 146,001.91 ล้านบาท จ่ายปันผลปี 2567 ที่ 0.35 บาท วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 7 จำนวน 188,562,074 หุ้น สัดส่วน 3.33% รับเงินปันผล 66 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าพอร์ต 4,855 ล้านบาท ราคาปิด ณ วันที่ 14 พ.ค. 2568 ที่ 25.75 บาท
บล.เอเชีย พลัส ระบุว่า MINT ทิศทางกำไรไตรมาส 2/68 ขึ้นทำจุดสูงสุดของปี และครึ่งปีหลังจะเร่งตัวจากครึ่งปีแรก สำหรับแนวโน้มรายได้ไตรมาส 2/6 ทางบริษัทฯ เปิดเผยรายได้ธุรกิจโรงแรม เม.ย.ใน EU เพิ่ม 1% -3%YoY) และโรงแรมไทยสูงขึ้น 7% -9%YoY โดยฝ่ายวิจัยประเมินกำไรปกติไตรมาส 2/68 ทำจุดสูงสุดของปี จากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวใน EU
ขณะที่น้ำหนักกำไรปกติครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากไม่มีช่วง Low season แบบไตรมาส 1 จึงคงประมาณการกำไรปกติปี 2568 ที่ 9.3 พันล้านบาท เติบโต 11% YoY เพราะทิศทางดอกเบี้ยจ่ายลดลง 11% YoY ประกอบกับคาดการณ์ Operating profit margin ดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 11.5% (2567 ที่ 11.4%) ตามการบริหารต้นทุน ส่วนรายได้คาดทรงตัวที่ 1.6 แสนล้านบาท บนสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโร : 35 บาท ค่าเฉลี่ย YTD อยู่ที่ 1 ยูโร : 36.7บาท, ค่าเฉลี่ยปี 2567 ที่ 1 ยูโร :38.2 บาท และ RevPar ของโรงแรมใน EU เพิ่ม 4% YoY Outperform มองโรงแรมต่างประเทศ ได้เปรียบโรงแรมไทย อิง DCF (WACC 8.5% และ Terminal growth rate 1.5%) ให้ FV ที่ 37 บาท (เทียบเท่า Forward PER ที่ 28 เท่า VS ค่าเฉลี่ยปี 2560 –62 ที่ 35 เท่า)
ทั้งนี้ คงแนะนำ Outperform จากแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/68 เชิง QoQ ทำได้ดีกว่าหุ้นท่องเที่ยวไทยที่เข้าสู่ Low season นอกจากนี้โครงสร้างรายได้หลักอยู่ใน EU ทำให้ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย ต่ำกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับโรงแรมใน EU เน้นฐานลูกค้าในภูมิภาค ราว 70% ของรายได้ NHH และโรงแรมไทย จับลูกค้าระดับบน น่าจะมีความยืดหยุ่นมากกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น ภายใต้ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ขณะที่แผนชำระคืนหนี้และกลยุทธฺการขยายธุรกิจแบบ Asset-lightจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรและ ROE ในระยะกลาง
บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) CNT มาร์เก็ตแคป 1,079.30 ล้านบาท จ่ายปันผลปี 2567 ที่ 0.04 บาท วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 3 จำนวน 65,275,410 หุ้น สัดส่วน 6.35% รับเงินปันผล 3 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าพอร์ต 69 ล้านบาท ราคาปิด ณ วันที่ 14 พ.ค. 2568 ที่ 1.05 บาท
ทั้งนี้ CNT ระบุว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงงานก่อสร้างทุกประเภท เช่น คอนโดมิเนียม วิลล่า สำนักงาน ทาวน์โฮม คลังสินค้า ศูนย์บริหารและจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซึ่ง คณะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้มีมติจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ บริษัท ซีเอ็น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้นโดยบริษัทฯ 100% ด้วยทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท โดยที่บริษัทย่อยนี้ได้ดำเนินการจดทะเบียนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568
5.วิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) MEGA มาร์เก็ตแคป 26,156.09 ล้านบาท จ่ายปันผลปี 2567 ที่ 0.80 บาท วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 3 จำนวน 45,982,716 หุ้น สัดส่วน 5.27% รับเงินปันผล 37 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าพอร์ต 1,379 ล้านบาท ราคาปิด ณ วันที่ 14 พ.ค. 2568 ที่ 30.00 บาท
ทั้งนี้ บล.พาย ระบุว่า MEGA คาดกลับมาโตในปีนี้จากสินค้าใหม่ที่ออกไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คาดว่ายอดขายธุรกิจยาและอาหารเสริม (Mega We Care) จะขยายตัว 2%YoY ในปีนี้ หนุนจากการออกสินค้าใหม่ในช่วงที่ผ่านมากว่า 70 รายการในช่วง 2565-2567 ทั้งในหมวดยาสัดส่วน 70% และอาหารเสริม สัดส่วน 30% ซึ่งยาส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดหมวดทางเดินหายใจ เบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระถูก และเนื้องอกมะเร็ง
ขณะที่รายได้ธุรกิจจัดจำหน่าย (Maxxcare's) คาดว่าจะลดลดลง YoY เนื่องจากยาและเวชภัณฑ์ในประเทศเมียนมา ด้วยภาวะกำลังซื้อในเมียนมาที่ลดลง ทำให้การจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยังไม่สามารถเติบโตได้ YoY
นอกจากนี้ปี 2569 จะได้แรงหนุมจากยอดขายในอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น หลังทยอยนำสินค้าเข้าไปขาย รวมถึงผลิตลิตสินค้าและขาย หลังจากเข้าซื้อโรงงานผลิตยาในช่วง 3 ปีที่แล้ว
6.เย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) AH มาร์เก็ตแคป 4,861.34 ล้านบาท จ่ายปันผลปี 2567 ที่ 0.48 บาท เย็บ ซู ชวน ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 3 จำนวน 34,744,490 หุ้น สัดส่วน 9.79% และลำดับที่ 8 จำนวน 13,790,560 หุ้น สัดส่วน 3.89% รับเงินปันผล 23 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าพอร์ต 602 ล้านบาท ราคาปิด ณ วันที่ 14 พ.ค. 2568 ที่ 12.40 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ปีนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ยังเผชิญความท้าทาย มองการลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังเปราะบาง มองว่าเป้ายอดผลิตรถยนต์ในปีนี้ที่ 1.5 ล้านคัน เติบโต2% มี downside risk ส่วนตลาด EV สำหรับค่ายรถยนต์จีนที่มาตั้งฐานการผลิตในไทยจะเริ่มเดินหน้าผลิต EV มากขึ้นตามมาตรการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐแต่ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม ด้วยค่ายรถจีนส่วนใหญ่มีซัพพายเออร์ของตัวเองตามมาด้วยมูลค่าคำสั่งซื้อที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยได้รับจึงไม่สูงมาก AH มีคำสั่งซื้อจากค่ายรถยนต์ BYD และ CHANGAN แต่มูลค่าไม่สูงมากนัก เราคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ ที่ 885 ล้านบาท +3%YoY
ทั้งนี้ ปรับคำแนะนำจาก “Trading” เป็น “ซื้อ” เราคาดผลประกอบการจะเข้าช่วงต่ำสุดในไตรมาส 2/68 ก่อนที่จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังนี้ จากฐานต่ำราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอ และเพิ่งขึ้นเครื่องหมาย XD ไปเมื่อ 13 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา ซึ่งลงมาซื้อขายที่ PER เพียง 5.0X ซึ่งสะท้อนปัจจัยลบไปพอสมควรเราคงมูลค่าพื้นฐานปีนี้ที่ 15.50 บาท อิงPER เฉลี่ย 3 ปี -0.50SD ที่ 6.20x
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1180603