ห้องเม่าปีกเหล็ก

การคำนวณผลตอบแทนการลงทุนเทียบกับ Benchmark

โดย ROE
เผยแพร่ :
64 views

การคำนวณผลตอบแทนการลงทุนเทียบกับ Benchmark

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ปี 2562 หรือ “ปีหมู” อย่างเป็นทางการ หลังจากผ่านพ้นปี 2561 หรือปีจอไปแล้ว นักลงทุนหลายท่านคงได้ใช้เวลากับครอบครัวในช่วงหยุดยาวที่ผ่านมาอย่างมีความสุข สนุกสนานอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ช่วงเปลี่ยนผ่านปีอย่างนี้ ในฐานะลงทุนคงต้องตรวจสอบผลตอบแทนในช่วงปีที่ผ่านมาว่า ผลตอบแทนของเราเป็นอย่างไร หากเทียบกับผลตอบแทนอ้างอิง (Benchmark) เพื่อเป็นการตรวจสอบว่า ผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนของเราสามารถเอาชนะผลตอบแทนอ้างอิงตลาด ได้หรือไม่

เพื่อให้เห็นภาพการเปรียบเทียบผลตอบแทนของตนเองเทียบกับผลตอบแทนอ้างอิง (Benchmark) ว่าเป็นอย่าง ให้ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้

ยกตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนมีมูลค่าการลงทุนช่วงต้นปี เท่ากับ 100,000 บาท ต่อมามูลค่าของพอร์ตการลงทุนเติบโตมากขึ้นจนมีมูลค่าสินทรัพย์การลงทุนรวม 112,000 บาท ในช่วงสิ้นปี ดังนั้น ผลตอบแทนนี้เติบโตมากขึ้น 12% [ (112,000 – 100,000) / 100,000 *100% ]

เพื่อตรวจสอบว่าผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนของเราดีหรือไม่ จึงต้องมีผลตอบอ้างอิงเพื่อเปรียบเทียบ ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี SET Index ปีนี้ สร้างผลตอบแทนเท่ากับ –10.82% ดังนั้น ผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนสามารถเอาชนะตลาดได้เท่ากับ 12% - (-10.82%) = 22.82%

โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนแต่ละท่านอาจจะมี Benchmark เพื่อเปรียบเทียบความสามารถของพอร์ตการลงทุน (Portfolio Performance) แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย อาธิ เช่น ชนิดของสินทรัพย์ที่ลงทุน ระยะเวลา ประเภทอุตสาหกรรมของสินทรัพย์ รวมไปถึงประเทศที่เข้าลงทุน

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ Thailand Investment Forum (TIF) ซึ่งได้รวบรวมผลตอบแทนการลงทุนของดัชนีหลักทรัพย์หลักๆ เพื่อแสดงให้เห็นภาพไว้เปรียบเทียบการลงทุนของตนเองดังนี้

ภาพที่ 1 : สรุปการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหลัก

จากภาพที่ 1 จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนดัชนีหลักๆ ของตลาดหลักทรัพย์ไทยประจำปี 2018 เป็นลบทุกดัชนี โดยดัชนีหลักอย่าง SET Index ติดลบไปกว่า 10.82% ขณะที่ดัชนี Mai TRI ติดลบไปมากกว่า 32.80%

ภาพที่ 2 : สรุปการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

หากแยกผลตอบแทนตามภาคอุตสาหกรรมดังภาพที่ 2 จะพบว่า มีเพียงกองทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ที่ 13.52% ขณะที่ผลตอบแทนของภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นลบทั้งสิ้น เริ่มต้นด้วย กลุ่มทรัพยากรมีผลตอบแทนติดลบน้อยที่สุดที่ 2.77% ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ อย่าง อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภคล้วนมีผลตอบแทนติดลบมากกว่า 10% ทั้งสิ้น

นอกจากนั้นแล้ว หากพิจารณาการซื้อขายโดยแบ่งแยกตามประเภทของนักลงทุนจะพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ มีมูลค่าซื้อขายสุทธิกว่า 2.9 แสนล้านบาท (สุทธิขาย) ขณะที่ นักลงทุนกลุ่มสถาบันในประเทศมีมูลค่าซื้อขายสุทธิ 1.8 แสนล้านบาท (สุทธิซื้อ) ซึ่งได้รับอานิงสงค์จากกองทุนประเภทต่างๆ ทั้ง LTF และ RMF ดังภาพที่ 3

ภาพที่ 3 : สรุปการซื้อขายสุทธิแยกประเภทตามกลุ่มนักลงทุน

นอกจากนั้น หากพิจารณาผลตอบแทนการลงทุนตามหลักทรัพย์รายตัวแล้ว ปี 2018 หุ้นใหญ่ๆ อย่าง PTT สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 2% ขณะที่ AOT มีผลตอบแทนในปีนี้ติดลบครั้งแรก หากเทียบกับผลตอบแทนย้อนหลังถึงปี 2008 ที่ 9% ตามมาด้วย CPALL, SCC และ ADVANC ต่างมีผลตอบแทนติดลบเช่นเดียวกันที่ 12%, 11% และ 12% ตามลำดับ (ผลตอบแทนดังกล่าว ไม่รวมผลตอบแทนจากเงินปันผล)

หากนักลงทุนทราบผลตอบแทนดัชนีหลักต่างๆ แล้ว ก็เพียงเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของตนเอง เพื่อเปรียบเทียบได้ว่า ผลตอบแทนของเราเอาชนะผลตอบแทนของดัชนีเหล่านี้ได้หรือไม่ ซึ่งหลักการการคำนวณเปรียบเทียบผลตอบแทนดังกล่าว ยังใช้กับการเปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุนได้อีกด้วย เพื่อประกอบการตัดสินใจว่า กองทุนใดสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าผลตอบแทนของตลาด

สุดท้ายนี้!!! แม้ว่าปีนี้เป็นปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนโดยรวมของตลาดอาจจะไม่ค่อยสู้ดีนัก หากผลตอบแทนการลงทุนของนักลงทุนติดลบ แต่ยังสามารถเอาชนะตลาดได้ (ผลตอบแทนติดลบน้อยกว่าตลาด) ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยโดยทั่วไป แต่หากนักลงทุนท่านใด ผลตอบแทนติดลบมากกว่าตลาด ก็ขอให้เก็บไปทำการบ้านให้มากยิ่งขึ้น และขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนปีนี้ต่อไป สวัสดีปีหมู 2019!!!!

ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ Thailand Investment Forum (TIF)


ROE