‘คนละครึ่ง’ จุดพลุ ‘หุ้นค้าปลีก’ โบรกชี้ราคายังเหลืออัปไซด์เพียบ รับมาตรการรัฐ 6.6 หมื่นล้าน
‘คนละครึ่ง’ จุดพลุ ‘หุ้นค้าปลีก’ โบรกชี้ราคายังเหลืออัปไซด์เพียบ รับมาตรการรัฐ 6.6 หมื่นล้าน มองหุ้นได้ประโยชน์โดดเด่น ยกให้ “ซีพีออลล์-ซีพี แอ็กซ์ตร้า” หนุนไตรมาส 4 เข้าไฮซีซัน
โบรกคาดมาตรการ “คนละครึ่ง” ดัน “กลุ่มค้าปลีก” คึกคัก ชี้ช่วยกระตุ้นบริโภคภายในประเทศให้ยังคงดีอยู่ “บล.กสิกรไทย” มองหากมาตรการชัดเจนหนุนราคาหุ้นเชิงบวก “บล.ยูโอบี เคย์เฮียนฯ” คาดกระตุ้นการบริโภคได้ในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า “บล.ทิสโก้” มองยังมีโอกาสลงทุนหุ้นค้าปลีกยังมีอัปไซด์ที่น่าสนใจในระยะ 12 เดือนข้างหน้า

หลังจากรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” เข้ามาบริหารประเทศ ความคืบหน้าของ โครงการคนละครึ่งปี 2568 หรือ คนละครึ่งพลัส กลายเป็นมาตรการเศรษฐกิจชุดแรกที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
“เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เตรียมนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค.2568 และคาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายจริงได้เร็วที่สุดภายในปลายเดือนเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีวงเงินเบื้องต้นสูงถึง 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า หุ้นค้าปลีกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อาจจะได้รับอานิสงส์ในบางตัวมีทั้งทางตรงและทางออ้อม ขณะเดียวกันแม้ราคาจะตอบรับกับโครงการดังกล่าวไปบ้างแล้ว แต่ทว่าอัปไซด์ยังคงมีเหลือ
นางสาวธรีทิพย์ วงษ์แสงไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้สะท้อนโครงการ “คนละครึ่ง” ไปแล้วประมาณหนึ่ง แต่หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้น อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นมีปฏิกิริยาเชิงบวกได้อีก
นอกจากปัจจัยด้านมาตรการรัฐแล้ว กลุ่มค้าปลีกกำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 ปี 2568 การกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาตรการรัฐต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาคประชาชนโดยตรง หรือผลทางอ้อมจากท่องเที่ยวก็จะช่วยเสริมให้เกิดโมเมนตัมต่อเนื่องสำหรับกลุ่มค้าปลีกจากไตรมาส 3 ปี 2568 สู่ไตรมาส 4 ปี 2568 ดังนั้น ราคาหุ้นจะสามารถยืนได้ หลังจากที่ปรับขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับประมาณการราคาเป้าหมายในช่วงกลางปี โดยรวมกลุ่มค้าปลีกยังมีอัปไซด์อยู่ในช่วงประมาณ 8-10% เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการภาครัฐด้วยเช่นกัน
ขณะที่ กลุ่มค้าปลีกซ่อมแซมบ้านโดยเฉพาะในต่างจังหวัด อาจมีอัปไซด์แคบลง และราคาอาจปรับขึ้นมามากจนเกินราคาเป้าหมายไปแล้ว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะกำไรในไตรมาส 3 ปี 2568 อาจยังไม่แข็งแรงนัก ซึ่งหุ้น CPALL ยังมีอัปไซด์อยู่ประมาณ 12-13%
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่งผลดีอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับค้าปลีกทุกตัว แต่ทว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มค้าปลีกที่เน้นสินค้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งนโยบายสนับสนุนด้านการใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อ เยียวยาอุทกภัย รวมถึงให้ซอฟโลนแก่ธุรกิจเอสเอ็มอี โดยรวมช่วยรักษาความสามารถในการซื้อของระบบ และกระตุ้นการบริโภคได้ในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า
สำหรับ หุ้นที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ CPALL เนื่องจากมาตรการดังกล่าวส่วนใหญ่ใช้ได้กับร้านค้าขนาดกลาง ร้านค้าปลีกรายย่อย หรือร้านขายของชำ ซึ่งไม่ใช่เครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ ดังนั้น CPALL จะได้รับผลดีทางอ้อมจากกำลังซื้อในระบบที่ปรับตัวดีขึ้น , หุ้น CPAXT คาดจะได้ผลดีที่ค่อนข้างตรง เนื่องจากมาตรการคนละครึ่งน่าจะไปกระตุ้นร้านค้าปลีกขนาดย่อย และร้านของชำต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าค้าส่งของแม็คโคร ทำให้ยอดซื้อต่อธุรกิจค้าส่งของแม็คโครดีขึ้น
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้มีการปรับตัวขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว สืบเนื่องจากความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะประกาศออกมา อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังถือว่ามีบางส่วนที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่คาดการณ์ไว้หรือยังมีอัปไซด์อยู่
ทั้งนี้ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากมาตรการคนละครึ่ง คือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มค้าส่งซึ่งได้แก่ BJC CRC CPALL และ CPAXT นอกจากนี้ หุ้น CPALL ยังคงได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ โดยมาตการดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นหรือรักษาทิศทางการบริโภคภายในประเทศให้ยังคงดีอยู่ ดังนั้น นักลงทุนยังคงมีโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากยังมีอัปไซด์อยู่ในช่วง 12 เดือนข้าง เช่น CPALL มีอัปไซด์มากกว่า 50%
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1200954