แอร์เอเชีย เผยอุตฯการบินฟื้น เชื่อ นทท. ทะลุ 20 ล้านคน ชงรัฐฟรีวีซ่า 6 เดือน-ลดภาษีน้ำมัน
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมการบิน ในช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2566 ส่งสัญญาณบวกต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ขนานไปกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเจ้าไทย 20 ล้านคน ภายในปีนี้
เพิ่มเส้นทางบินจีน-อินเดีย ปลายปี
ขณะที่ทาร์เก็ตหลักของท่องเที่ยวไทย คือ กลุ่มคนจีน ช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ได้เดินทางเข้าไทย 2 ล้านราย น้อยกว่าที่คาดการณ์จากแัจจัยลบด้านเศรษฐกิจจีน และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของการเที่ยวไทยในกลุ่มคนจีนตกต่ำลง จากกระแสข่าวเชิงลบก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไข และสื่อสารแคมเปญ อาทิ เที่ยวไทยปลอดภัย ซึ่งคาดว่าในช่วง 5-6 เดือนที่เหลือของปี การเดินทางระหว่างประเทศจะเร่งตัวขึ้น คนจีนจะเข้าไทยเพิ่ม 1.5 หมื่นคน/วัน และผลักดันเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนเป็น 4-5 ล้านราย ในปี 2566
ทั้งนี้ แอร์เอเชีย เตรียมแผนเพิ่มเป็น 138 เที่ยวบิน ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับช่วงก่อนโควิด เมื่อปี 2562 จากปัจจุบันอยู่ที่ 108 เที่ยวบิน และมีเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) สู่ 11 เมือง จำนวน 18 เส้นทางบิน อาทิ กวางโจว ฉงชิ่ง เซินเจิน คุนหมิง หางโจว นานจิง ฉางซา มาเก๊า ซีอาน ฯลน และเตรียมเปิดเส้นทางบินไปยัง ปักกิ่ง ในเดือนตุลาคม ปี 2566
“แอร์เอเชีย มีแผนเพิ่มเครื่องบินสำรองอีก 5-7 ลำในครึ่งหลังของปีนี้ พร้อมเพิ่มความถี่เที่ยวบินต่อสัปดาห์ในเส้นทางประเทศจีน จากปัจจุบันอยู่ที่ 70 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับความต้องการผู้โดยสารชาวจีนที่คาดว่าจะมีจำนวนสูงขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้”
นอกจากนี้ ยังจะเปิดเส้นทางบินใหม่ในอินเดีย ไปยังเมืองอาห์เมดาบัด ในปลายปี 2566 ด้วยเช่นกัน ส่วนเที่ยวบินในประเทศ จะเปิดเส้นทางบินเพิ่มในจังหวัดเลย และ ชุมพร ในไตรมาส 3 นี้
ขยายฝูงบินครบ 60 ลำ
สันติสุข กล่าวว่า จากแนวโน้มการเติบโตในอุตสาหกรรมการบินดังกล่าว แอร์เอเชีย ยังวางแผนเพิ่มฝูงบินอย่างน้อย 5 ลำต่อปีจากหมุนเวียนกลับ (Relocate) เครื่องบินมาใช้ จากบริษัทแม่ ประเทศมาเลเซีย
โดยคาดว่าในปี 2567 จะมีจำนวนเฉลี่ยราว 60 ลำ เท่ากับในช่วงก่อนโควิด โดยในปี 2563 ไทยแอร์เอเชียได้ส่งคืนเครื่องบินไป 9 ลำ ทำให้มีจำนวนเหลืออยู่ที่ 54 ลำเพื่อให้บริการในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางกลับมายังกรุงเทพมหานคร ที่ปักหมุดให้เป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของโลก หลังโควิด
และหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ในปี 2567 แอร์เอเชียยังมีแผนขยายเส้นทางการบินระหว่างประเทศ (FD) ไปยังเมืองอื่นๆในประเทศญี่ปุ่น อาทิ ฮิโรชิมา โอกินาวา นอกเหนือจากฟูกุโอกะ ในปัจจุบัน
“ต้องรอความพร้อมของของ แอร์บัส 321 ที่จะเข้ามาเพิ่มในฝูงบินใหม่สายการบินแอร์เอเชีย จากปัจจุบันมีรุ่นดังกล่าวจำนวน 2 ลำ ด้วยเป็นอีกหนึ่งตลาดเส้นทางบินในญี่ปุ่นที่มีความต้องการสูงโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน มีนักเดินทางจากญี่ปุ่นบินมายังกรุงเทพสัดส่วนกว่า 30-40% ส่วนแอร์บัส 320 มีเส้นทางบินเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน”
ปัจจุบัน แอร์เอเชีย มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) เที่ยวบินระหว่างประเทศ เฉลี่ย 83% และ Load Factor ผู้โดยสารเที่ยวบินในประเทศอยู่ที่ 94% โดยเฉลี่ยอัตราการบรรทุกผู้โดยสารในภาพรวมแอร์เอเชีย ปัจจุบันอยู่ที่ 89% ซึ่งเป็นจำนวนผู้โดยสารที่กลับมามากกว่าช่วงโควิด
ทั้งนี้ จากความพร้อมของฝูงบินและแผนธุรกิจที่วางไว้ตามเป้าหมายขนส่งผู้โดยสารปี 2566 ได้ 20 ล้านคน จากในครึ่งปีเเรก ขนส่งไปแล้วกว่า 9.22 ล้านคน และคาดว่ามีรายได้ไม่ต่ำกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท
เสนอโมเดลภาษีน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร
สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่าหากนโยบายถูกต้อง โปรโมชันที่ถูกใจ ก็จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่เป็นรายได้หลักสำคัญของประเทศไทย ขับเคลื่อนไปต่อได้
นอกจากนี้ หากมองในภาพของสายการบินบินแอร์เอเชียในภาพรวม ยังพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดีย เริ่มกลับมาด้วยเช่นกัน รวมถึงกลุ่มประเทศเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งกลุ่มหลังประเทศสิงคโปร์ เดินทางเข้ามาไทยเป็นอันดับหนึ่ง
เช่นเดียวกับแนวโน้มตลาดในประเทศ ที่ผู้โดยสารคนไทยยังเดินทางตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงวันหยุดยาว
สำหรับแนวโน้มอัตราค่าบัตรโดยสารเครื่องบินแอร์เอเชีย ในขณะนี้ยังคงราคาเฉลี่ยในระดับที่แข่งขันได้ในภาพรวมของตลาด โดยราคาบัตรโดยสารนั้นขึ้นอยู่กับตลาดความต้องการ (ดีมานด์) และการจัดหา (ซัพพลาย) เป็นหลัก
ขณะที่ราคาบัตรโดยสารเที่ยวบินต่างประเทศนั้น ขึ้นอยู่กับดีมานด์ในตลาดเช่นกัน ซึ่งแอร์เอเชียจะใช้กลยุทธ์การทำตลาดโปรโมชันออกมาเฉลี่ยกับราคาบัตรโดยสารเพื่อกระตุ้นการเดินทางในแต่ละช่วง ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีราคาสูงกว่าช่วงโควิดราว 10-20% ซึ่งหากนำกลยุทธ์ค่าบัตรโดยสารราคาต่ำกว่าทุนมาใช้ มองว่าไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด ในภาพรวม
พร้อมร่วมหารือสมาคมธุรกิจสายการบิน ให้เป็นตัวแทนเสนอมาตรการเร่งด่วน เรื่อง ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ที่ปัจจุบันกลับมาใช้ในอัตรา 4.726 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2566 เป็นต้นมา
จากก่อนหน้ากระทรวงการคลัง มีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจสายการบิน โดยเรียกเก็บในอัตรา 0.20 บาทต่อลิตร เพื่อบรรเทาและลดผลกระทบโดยตรงจากต้นทุนการดำเนินการของสายการบินที่สูงขึ้น และมีผลต่อการกำหนดอัตราค่าโดยสารของแต่ละสายการบิน
“จากการหารือร่วมกันผ่านสมาคมธุรกิจสายการบินในสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเสนอโมเดลเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันในอัตราเฉลี่ยให้มาเจอกันในจุดตรงกลางอยู่ที่ราวๆกว่า 2 บาท ซึ่งหากทำได้ จะส่งผลดีต่อการกำหนดราคาบัตรโดยสารที่สามารถลดค่าเซอร์พาสส์ ลงได้ครึ่งหนึ่ง” สันติสุข กล่าว
เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าจีน 6 เดือน
สันติสุข กล่าวว่า ในฐานะภาคเอกชนธุรกิจบริการสายการบิน มีความยินดีต่อการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ที่ควรจะต้องเร่งสนับสนุนการเติบโตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วยเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม สายการบินมีข้อเสนอเเนะถึงรัฐบาลใหม่ ในการผลักดันนโยบาย เพื่อฟื้นธุรกิจการท่องเที่ยวเเละการบินได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเศรษฐกิจในภาพรวม คือ
การสนับสนุนนโยบายและเเคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยต่อเนื่อง เช่น การออกเแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ลดต้นทุนการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อกระจายเศรษฐกิจให้เติบโตทั่วภูมิภาค
การพิจารณายกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) เป็นการชั่วคราว (ระยะเวลา 6 เดือน) ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อกระตุ้นให้มีการเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีค่าธรรมเนียม 2,000 บาทต่อคน
การขยายสิทธิการบิน การขนส่งอากาศไทย – อินเดีย ให้สามารถเพิ่มความถี่ในการขนส่งทางอากาศในตลาดเอเชียใต้ และ 6 เมืองหลักของอินเดีย ประกอบด้วย นิวเดลี มุมไบ บังกาลอร์ โกลกาตา เชนไน ไฮเดอราบาด ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของการท่องเที่ยวไทย