จีน จ่อร่วงฮับการผลิตโลก ปมสงครามการค้า-โควิด บิ๊กแบรนด์ย้ายโรงงานซบอาเซียน-อินเดีย-บังคลาเทศ
จีน เป็นมหาอำนาจด้านการผลิต ฮับห่วงโซ่อุปทานสินค้าต่าง ๆ ของโลกกว่า 40 ปี ทว่าภาพจำดังกล่าวเริ่มพังทลายลงในปี 2561 หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดฉากสงครามการค้ากับจีน สิ่งนี้เริ่มกระตุ้นให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ จึงทำให้นักลงทุนย้ายโรงงานผลิตออกจากแดนมังกร
ขณะที่การแพร่ระบาดโควิด จีนได้นำนโยบาย zero covid ยิ่งเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนตระหนักความสำคัญเรื่องการไม่พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งในด้านการผลิต
“ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์และการแพร่ระบาดโควิด เป็นเชื้อเพลิงให้มีการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน” Ashutosh Sharma ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัทวิจัยตลาด Forrester แสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2565
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของสงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไป ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ไม่ได้ยกเลิกภาษีศุลกากรระดับสูงที่ทรัมป์เรียกเก็บกับจีน และในเดือนตุลาคม 2565 ไบเดนได้บังคับใช้การควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ขนส่งไปยังโรงงานของจีนที่ผลิตชิปลอจิกขั้นสูง
ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจันและสหรัฐอเมริกา บริษัทข้ามชาติต่างป้องกันความเสี่ยงทางธุรกิจ ย้ายฐานการผลิตจากจีนไป 5 ประเทศ ดังนี้
1.อินเดีย
ที่ผ่านมาอินเดียพยายามเอาชะจีนด้านการผลิตระดับไฮเอนด์ ประกอบกับประเทศมีพื้นที่ใหญ่ และมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก ข้อมูลจากกรมเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติกล่าวในรายงานเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ประชากรอินเดียจะแซงจีนในปีหน้า และขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
Apple ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้ย้ายการผลิต iPhone บางส่วน ไปยังรัฐทมิฬนาฑูและกรณาฏกะของอินเดียแล้ว และกำลังสำรวจการย้ายการผลิต iPad ไปยังประเทศในเอเชียใต้ด้วย นักวิเคราะห์ของ JP Morgan คาดว่า Apple จะย้ายการผลิต iPhone 14 ราว 5% ไปยังอินเดียภายในสิ้นปี 2565 และคาดการณ์ว่าภายในปี 2568 หนึ่งในสี่ของ iPhone จะผลิตในอินเดีย
อินเดียมีแหล่งแรงงานจำนวนมาก มีประวัติการผลิตที่ยาวนาน และการสนับสนุนจากรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการส่งออก ด้วยเหตุนี้อินเดียเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ที่จะมาแทนจีน” Julie Gerdeman ซีอีโอของ Everstream แพลตฟอร์มการจัดการความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตไปยังอินดียไม่ง่ายเช่นนั้น แม้นายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดีย จะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2557 ส่งผลให้ FDI มีมูลค่าสูงถึง 83.6 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณที่แล้ว ตามข้อมูลของรัฐบาล
แต่อุปสรรคสำคัญยังคงมีอยู่ แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะส่งเสริมการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การทำธุรกิจในประเทศยังยากกว่าในประเทศจีน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบราชการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมากที่ยืดเยื้อการตัดสินใจ
2.เวียดนาม
เวียดนามปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2529 จาก “หนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกไปสู่เศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางในชั่วอายุเดียว” ธนาคารโลกระบุในโพสต์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2565
ในปี 2564 ตามข้อมูลของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของประเทศ เวียดนามดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้มากกว่า 31.15 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 9% เมื่อเทียบกับปี 2563 การลงทุนประมาณ 60% ไปที่ภาคการผลิตและการแปรรูป
จุดแข็งที่สำคัญของเวียดนามอยู่ที่การผลิตเครื่องแต่งกาย รองเท้า อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
นอกเหนือจากอินเดียแล้ว Apple ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้ย้ายการผลิต iPhone บางส่วนไปยังเวียดนาม และยังวางแผนย้ายการผลิต MacBook บางส่วนมาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
บริษัทอื่นๆ ที่ย้ายสายการผลิตบางส่วนจากจีนไปยังเวียดนาม ได้แก่ Nike, Adidas และ Samsung
3.ไทย
FDI ของไทยเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว ระหว่างปี 2563-2564 เนื่องจากผู้ผลิตย้ายออกจากจีน ในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยได้ยกระดับห่วงโซ่คุณค่าในการผลิตและเป็นศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ยานพาหนะ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีบริษัทข้ามชาติ เช่น Sony และ Sharp ตั้งฐานการผลิตในประเทศ
Sony กล่าวในปี 2562 ว่ากำลังจะปิดโรงงานสมาร์ทโฟนที่ปักกิ่งในปี 2562 เพื่อลดต้นทุนและย้ายฐานการผลิตบางส่วนมาที่ประเทศไทย Sharp กล่าวในปีเดียวกันว่า ได้ย้ายการผลิตเครื่องพิมพ์บางส่วนมายังประเทศไทยเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ไม่ใช่แค่บริษัทข้ามชาติเท่านั้น แม้แต่บริษัทในจีนก็ยังย้ายบางส่วนของห่วงโซ่อุปทานมายังประเทศไทย อาทิ JinkoSolar บริษัทที่ผลิตแผงโซลาร์ ในเซี่ยงไฮ้ เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำลง และหลีกเลี่ยงความตึงเครียดทางการเมือง ตามการรายงานของหนังสือพิมพ์ South China Morning Post เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2565
“การตั้งโรงงานผลิตในต่างประเทศไม่ได้มาจากการแสวงหาโอกาส แต่เป็นกลยุทธ์มากกว่าที่จะจัดการกับความท้าทายเพื่อเข้าถึงตลาด” Zhuang Yan ประธานของ Canadian Solar กล่าวในงานอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม SCMP รายงาน
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยเพิ่มขึ้นสามเท่าเป็น 4.553 หมื่นล้านบาท หรือ 13.1 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2563-2564 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทยประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้
4. บังคลาเทศ
บังคลาเทศ ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิตจากจีน เมื่อภาคการผลิตชะลอลงจากโควิด บังคลาเทศขึ้นแท่นดาวรุ่งภาคการผลิตเสื้อผ้า การผลิตที่เพิ่มขึ้นในบังคลาเทศ ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นในจีน
“เงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนของคนงานในบังคลาเทศคือ 120 ดอลลาร์หรือน้อยกว่า 1 ใน 5 ของคนงานจีนในศูนย์กลางการผลิตของจีนตอนใต้ของกว่างโจวที่อยู่ที่ 670 ดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น ต้นทุนวัสดุที่สูงขึ้นกำลังผลักดันให้บริษัทเครื่องแต่งกายมองหาจุดหมายปลายทางอื่น เช่น บังกลาเทศ ซึ่งราคาการผลิตค่อนข้างต่ำ” Mostafiz Uddin เจ้าของ Denim Expert ผู้ผลิตเสื้อผ้าบังคลาเทศ กล่าว
แม้จะมีการถล่มของอาคารสูงที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 1,132 คนในเดือนเมษายน 2556 และทำให้บังกลาเทศเสียชื่อเสียงด้านความปลอดภัยในการทำงาน แต่อุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้าของบริษัทยังเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจบังกลาเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 85% ของการขนส่งหรือมูลค่ากว่า 42 พันล้านดอลลาร์ของการส่งออกของประเทศใน บังกลาเทศ 2564 และบังคลาเทศเป็นประเทศผู้ส่งออกเสื้อผ้ารายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากจีน
ขณะนี้ บังคลาเทศกำลังดำเนินการเพื่อดึงดูดการลงทุนนอกเหนือไปจากภาคการผลิตเสื้อผ้า และกำลังดำเนินการเพื่อดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมไปยังภาคส่วนอื่น ๆ รวมถึงเภสัชกรรมและการแปรรูปการเกษตร
5.มาเลเซีย
มาเลเซียมองหาโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความพยายามดังกล่าวมีความคืบหน้า โดยมาเลเซียสามารถดึงดูดโครงการอย่างน้อย 32 โครงการที่ย้ายจากจีนไปยังมาเลเซีย หน่วยงานพัฒนาการลงทุนแห่งมาเลเซีย ระบุในเดือนกรกฎาคม 2563 ทางการไม่ได้ให้รายละเอียดเฉพาะของโครงการหรือของบริษัทที่ย้าย
อย่างไรก็ตาม ก่อนเกิดโรคระบาด การลงทุนด้านเทคโนโลยีในมาเลเซียก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนแรงงานที่ลดลงและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ข้อตกลงสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมารวมถึงเงิน 1.5 พันล้านริงกิตมาเลเซีย หรือ 339 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการลงทุนโดย Micron ยักษ์ใหญ่ด้านชิปของสหรัฐฯในช่วง 5 ปีนับจากปี 2561 Jabil บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่ผลิตเคส iPhone ได้ขยายการดำเนินงานในมาเลเซียด้วย
ข้อมูล FDI ของมาเลเซียที่ไหลเข้าสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ 48.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564 โดยมีการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์เป็นผู้สนับสนุนหลัก ตามข้อมูลของรัฐบาล