ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นกลุ่มเครื่องดื่มกระทบแค่ไหน ?

โดย ใจอยู่ที่กระบี่
เผยแพร่ :
201 views

หุ้นกลุ่มเครื่องดื่มกระทบแค่ไหน ?

เมื่อภาษีความหวานเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว

.

กรมสรรพาสารมิตได้เริ่มเก็บภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลในสินค้าเครื่องดื่มตั้งแต่ปี 2560 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับสูตรลดปริมาณน้ำตาลเพื่อต้องการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยได้กำหนดโครงสร้างภาษีในอัตราแบบขั้นบันได 3 ระยะ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการปรับขึ้นภาษีในระยะที่ 1 และ 2 ไปแล้ว

.

ส่วนระยะที่ 3 เดิมจะเริ่มใช้ตั้งวันที่ 1 ต.ค. 64 แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานออกไป 6 เดือน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ซึ่งตามกำหนดการจะสิ้นสุดระยะเวลาและเริ่มปรับอัตราภาษีความหวานเป็นระยะที่ 3 ในวันที่ 1 เม.ย. นี้

.

นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุม กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 66 กรมสรรพสามิตจะเริ่มปรับขึ้นภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลเข้าสู่ระยะที่ 3 หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาการคงภาษี 6 เดือน ตามมติครม. ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่ปรับเปลี่ยนสูตรการผลิต โดยลดส่วนผสมจากน้ำตาลลง จะทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น สำหรับภาษีความหวานระยะที่ 3 ที่จะเริ่มเก็บตั้งแต่ 1 เม.ย. 66 - 31 มี.ค. 68 มีอัตราดังนี้

.

โดยปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาทต่อลิตร, ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร, ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร, ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร, ปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร

.

ขณะที่นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้เสนอขอเลื่อนขยายเวลาปรับขึ้นภาษีความหวาน เนื่องจากเกิดภัยแล้งและวัตถุดิบปรับขึ้นราคา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหาร ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ามีโอกาสน้อยมากที่ภาครัฐจะเลื่อนเก็บภาษีความหวาน

ดังนั้น Wealthy Thai จึงมีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝาก ว่าหากภาษีความหวานระยะที่ 3 เริ่มใช้จริง จะส่งผลกระทบกับสินค้าเครื่องดื่มกลุ่มใดมากที่สุด และหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มตัวไหนจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง

.

นักวิเคราะห์จากบล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเป็นลบต่อประเด็นนี้เล็กน้อย มองว่าโอกาสที่รัฐจะเลื่อนการเก็บภาษีน้ำตาลอัตราใหม่มีโอกาสน้อยมาก โดยอัตราภาษีน้ำตาลใหม่ปรับขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า ซึ่งมองว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบหลักๆ คือ กลุ่มน้ำอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูง

.

ด้านเครื่องดื่มชูกำลัง ปัจจุบัน CBG สินค้าหลักคือ คาราบาวแดง (ขวด) เสียภาษีในอัตรา 6-8 กรัมต่อ 100 มล. ภาษีน้ำตาลปรับเพิ่มเป็น 0.3 บาทต่อลิตร จาก 0.1 บาทต่อลิตร โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากระทบจำกัด เพียง 1% ของกำไรสุทธิปี 2566 ดังนั้นยังคงประมาณกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 2,850 ล้านบาท โต 25% จากปีก่อน และคงแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 105.00 บาท

.

ส่วน OSP เครื่องดื่มชูกำลังที่จำหน่ายหลักในประเทศ คือ M-150 (ขวด) ซึ่งอัตราน้ำตาลอยู่ที่ 0-6 กรัมต่อ 100 มล. จึงไม่ต้องเสียภาษีน้ำตาล ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 2,289 ล้านบาท โต 18% จากปีก่อน คงคำแนะนำ “ถือ” และคงราคาเป้าหมายที่ 30.00 บาท

.

ขณะที่ SNNP ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีน้ำตาล เนื่องจากสินค้าหลักคือ เจเล่บิวตี้ ซึ่งมีน้ำตาลต่ำมาก ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีน้ำตาลอัตราใหม่ ดังนั้น จึงคงประมาณการกำไรปกติที่ 722 ล้านบาท โต 40% จากปีก่อน แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท

.

ด้าน SAPPE บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มองว่ากระทบจำกัด เนื่องจากสินค้าเครื่องดื่มส่วนใหญ่เป็นการส่งออก ส่วนนักวิเคราะห์จากบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แนวโน้มในปี 2566 ยังดูสดใสในทุกๆตลาด ทําให้ปรับประมาณการกําไรขึ้นเป็น 852 ล้านบาท โต 30% จากปีก่อน คงคําแนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65.00 บาท

.

และสุดท้าย ICHI บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า บริษัทได้มีการปรับสูตรน้ำตาลตั้งแต่ไตรมาส 4/65 จนอยู่ในระดับที่ไม่ต้องเสียภาษีน้ำตาล ด้านนักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า คงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 740 ล้านบาท โต 15.3% จากปีก่อน โดยเริ่มเห็น Upside จากแนวโน้มตลาดชาเขียวที่ดีกว่าคาด และรายได้สินค้าใหม่ Tansansu ทำให้มีโอกาสในการปรับประมาณการกำไร และราคาเป้าหมายขึ้น คงคาแนะนา “ซื้อ” คงราคาเหมาะสมที่ 14.80 บาท เชิงกลยุทธ์ แนะนำ ถือ Let Profit Run หรือเข้าสะสมในช่วงที่ราคาอ่อนตัว

 

 


ใจอยู่ที่กระบี่