เขียนโดย Kim Iskyan, Truewealth Publishing
ที่มา businessinsider.com
สรุปโดย SiTh LoRd PaCk
การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คือ หลักการพื้นฐานสำหรับนักลงทุนหรือแม้กระทั่งนักวางแผนทางการเงิน การซื้อสินทรัพย์ที่หลากหลายเป็นการลงทุนแบบผสมผสานและถือเป็นการกระจายความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริทรัพย์ ทองคำ นี้คือหลักการเบื้องต้นการลงทุน Investing 101 ที่ถูกสอนกันในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
แต่ว่า ... ทำไมนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกถึงไม่คิดอย่างนั้น ตัวอย่างเช่นวอเร็น บัฟเฟตต์ เคยพูดเอาไว้ว่า การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คือหลักการลงทุนสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
วันนี้ผมมีโอกาสได้มานั่งคุยกับจิม โรเจอร์ นักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จระดับตำนานแบบเอ็กซ์ครูซีฟเกี่ยวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ตอนนี้เขากำลังซื้ออะไรในขณะที่ฟองสบู่กำลังก่อตัวขึ้น และที่สำคัญคือ .. asset allocation ซึ่งตรงนี้ผมอยากให้คุณฟังคลิปฉบับเต็มได้ที่นี้เลยครับ ... Click here .. !
จิม โรเจอร์บอกว่าเขาไม่กระจายความเสี่ยง ดังนั้นการซื้อสินทรัพย์หลายๆตัว หรือพวก asset allocation เขาไม่ใคร่จะใส่ใจมากนัก
"ผมรู้มาว่าหลักการกระจายความเสี่ยงได้ถูกสอนให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งพวกโบรคเกอร์ก็ชอบที่จะใช้หลักการนี้กับนักลงทุนโดยส่วนมากด้วย ผมไม่เถียงว่ามันดีหรือมันไม่ดี แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณอยากรวย คุณควรลงทุนแบบมุ่งเน้นมากกว่า"
ความเห็นนี้ชัดเจนเลยว่าเขาคิดสวนทางกับคนส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าดูๆแล้วมันอาจจะผิด แต่ว่าความคิดนี้มันออกมาจากปากของจิม โรเจอร์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของโลก ในอดีตเขาร่วมมือกับจอร์จ โซรอสก่อตั้งกองทุน Quantum Fund และสร้างผลตอบแทนได้มากถึง 4200% ทำให้เขาร่ำรวยและใช้ชีวิตไปกับการเดินทางรอบโลกถึง 2 ครั้ง
เขาลาออกจากการเป็นนักลงทุนเต็มตัวในปี 1980 และมุ่งหน้าสู่การเตรียมตัวเดินทางรอบโลก เขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนและประสบการณ์จากการที่เขาเดินทางรอบโลกหลายเล่ม ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เดินทางหรือว่ามีเงินไม่มากพอสำหรับการท่องเที่ยว แต่เราก็ควรที่จะอ่านหนังสือให้มากเข้าไว้ คุณสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้จากการอ่าน
ทำไมคุณควรกระจายความเสี่ยง
ผมเขียนหนังสือหลายเล่ม ซึ่งแต่ละเล่มมักจะเน้นย้ำในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงและการลดความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอของคุณ "อย่าวางไข่ของคุณไว้ในตะกร้าใบเดียว" แต่ไม่ไดหมายความว่าคุณจะวางไข่ไว้ในตะกร้าเป็นร้อยๆใบ
การกระจายความเสี่ยงอาจจะเน้นไปที่ตัวบริษัทหรืออุตสาหกรรมแต่ละประเภท ตัวอย่างเช่นบริษัทมีปัญหาเกี่ยวกับการผลิตทำให้ผลิตไม่ได้ หรือสายการบินที่มีปัญหาเรื่องพนักงาน สิ่งเหล่านี้เราเรียกมันว่าความเสี่ยง และการกระจายความเสี่ยงที่ดี จะไม่ทำให้พอร์ตโฟลิโอเสียหายมากนัก (แต่คุณก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ดี)
(Market risk) ความเสี่ยงของตลาด (หรือเราเรียกว่า systematic risk) คือความเสี่ยงในระบบของการเงินซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตัวอย่างเช่น อัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ยของธนาคารหรือแม้แต่ภาวะถดถ่อยของเศรษฐกิจ การกระจายความเสี่ยงไม่สามารถพบปะกับเส้น Market risk ได้ (ดูจากรูป)
กราฟด้านล่างแสดงให้เห็นว่า ความเสี่ยงมีทั้งหมด 2 ประเภท นักลงทุนที่เข้ามาในตลาดจะต้องเจอกับ systematic risk การกระจายความเสี่ยงยิ่งมาก ความผันผวนก็จะยิ่งลดลงจนถึงสุดๆหนึ่งมันก็จะไม่ลดต่ำไปมากกว่านี้อีกแล้ว เช่นการซื้อหุ้น 30 ตัว มันน่าจะเป็นวิกฤตมากกว่าจะเป็นการกระจายความเสี่ยง
จิม โรเจอร์ คิดว่า "วอลสตรีทสอนให้เราอย่าวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว แต่ผมคิดว่าเราควรหาตะกร้าที่ดีที่สุดเพื่อใส่ไข่ทั้งหมดของคุณลงไป แต่คุณต้องมั่นใจว่าตะกร้านั้นเป็นตะกร้าที่ถูก และต้องเฝ้ามองมันด้วยความระมัดระวัง"
แน่นอนว่า วิธีนี้ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ทุกคน high risk, high reward ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็สูงมากเช่นเดียวกัน
จิม ยังกล่าวเสริมอีกว่า "ถ้าคุณวางมันผิดใบ คุณจะขาดทุนอย่างหนัก แต่ถ้าคุณมาถูกทาง คุณจะรวย และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ การทำงานอย่างหนัก ความมุ่งมั่น เรื่องของอารมณ์ ความรู้ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ถ้าคุณทำได้ คุณจะรวยมหาศาล"