ความสำเร็จที่เริ่มต้นจากการ
แก้ปัญหาของ MK สุกี้

.
ปัญหาแรก “เตาไฟฟ้า”
แรกเริ่มเดิมทีนั้น MK เปิดเป็นร้านอาหารไทยเล็กๆ
ในย่านสยามสแควร์ ก่อนที่จะได้รับการชักชวน
ให้ไปเปิดร้าน MK สุกี้สาขาแรกในเซ็นทรัล ลาดพร้าว
แต่มีข้อแม้ว่าทางร้านจะต้องเปลี่ยนเตาทั้งหมดจากเตาแก๊ส
เป็นเตาไฟฟ้า เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย
เมื่อหม้อเตาแก๊สก็ถือว่าอันตราย จึงกลายเป็นปัญหา
ให้ต้องมาคิดต่อว่าจะปรับเปลี่ยนวิธีการอย่างไร
แม้จะมีการปรับและพัฒนา “หม้อสุกี้เตาไฟฟ้า” อยู่หลายครั้ง
จนได้เวอร์ชั่นที่ทำงานได้ดี แต่ปัญหาไม่ได้จบแค่นั้น
เพราะถึงจะแก้ไขเรื่องความปลอดภัยได้แล้ว
แต่ก็ยังคงมีปัญหาที่ความเร็วอยู่ดี
เนื่องจากเตาไฟฟ้านั้นร้อนช้ากว่าเตาแก๊สจึงทำให้ซุปเดือดช้ากว่า
โดยถ้าใช้เตาแก๊สจะใช้เวลาประมาณ 6 นาที
แต่ถ้าใช้เตาไฟฟ้านั้นต้องใช้เวลาถึง 11 นาทีเลยทีเดียว
ซึ่งทาง MK มองว่านานเกินไป
การแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอด
ก็ไม่สามารถเร่งให้ซุปเดือดเร็วกว่านี้ได้ จนกระทั่ง
ทาง MK ปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้
ซุปอุณหภูมิห้องก็ได้นี่น่า ถ้าเราอุ่นซุปไว้ก่อน
แล้วค่อยปล่อยให้มาเดือดต่อในเตาไฟฟ้า
ก็น่าจะช่วยร่นระยะเวลาลงได้
ซึ่งหลังจากการทดลองพบว่าการใช้ซุปอุ่นๆ
แทนซุปอุณหภูมิห้องนั้น สามารถร่นระยะเวลาการได้ถึง 4 นาที
ช่วงเวลาเดือดก็ใกล้เคียงกับการใช้เตาแก๊ส
แก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัย และความรวดเร็วได้
ในเวลาเดียวกัน
.
ปัญหาต่อมา “ระหว่างรออาหาร”
แม้เมนูชูโรงของ MK จะเป็นสุกี้ แต่ในขณะเดียวกัน
MK ก็พยายามที่จะเพิ่มวาไรตี้ของอาหารให้มากขึ้น
เพื่อที่ระหว่างรอหม้อร้อน ลูกค้าจะได้มีอาหารให้ทานได้
ไม่ขาดตอน ไม่ต้องรอจนเกินไป ลองคิดจากใจคนหิวดูว่า
ถ้าหิวแล้ว 1 นาที ก็เดินช้าเหมือน 10 นาที
เพราะฉะนั้น MK ก็เลยพยายามนำเสนอเมนูเสริมมาให้ลูกค้า
ได้เลือกรับประทานระหว่างรอสุกี้ในหม้อเดือด
นั่นจึงเป็นที่มาของไลน์อาหารอย่างเมนูติ่มซำ
บะหมี่ เป็ดย่าง ที่ทุกวันนี้หลายมาเป็นเมนูฮอตฮิต
ขายดีไม่แพ้เมนูหลักอย่างสุกี้เลยทีเดียว
.
ปัญหาเรื่อง “การจัดการพื้นที่”
คิดว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับภาชนะที่เป็นเหมือนซิกเนเจอร์
ที่หลายคนเรียกกันว่า “จานคอนโด” ซึ่งจานนี้ไม่ได้
ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อความสร้างสรรค์หรือแปลกใหม่เพียงเท่านั้น
แต่จุดประสงค์หลักในการสร้างภาชนะในรูปทรงนี้
ขึ้นมาก็เพื่อแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่บนโต๊ะ
เนื่องจากพื้นที่โต๊ะค่อนข้างมีจำกัด
และเกินครึ่งของโต๊ะก็เป็นพื้นที่สำหรับวางเตาไฟฟ้า
และหม้อสุกี้ จึงทำให้ถ้าสั่งเมนูต่างๆ มาเยอะ ก็จะวางไม่พอ
แต่ถ้าสั่งมาทีละน้อยก็จะลงหม้อได้ช้า สุกได้ไม่ทันใจ
ทาง MK ก็เลยแก้ไขปัญหาด้วยการ
ถ้าขยายแนวกว้างไม่ได้ ก็ต่อให้สูงขึ้นไปเลยครับ
วิธีนี้นอกจากจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องพื้นที่
บนโต๊ะไม่พอวางอาหารได้แล้ว ยังทำให้ลูกค้า
สามารถสั่งอาหารได้ครั้งละจำนวนมากๆ
แบบไม่ขาดตอนอีกด้วย
.
ปัญหาสำคัญ “ความเร็วและการจัดการออเดอร์”
ในช่วงเริ่มต้นนั้น MK ก็เหมือนกับร้านอาหารอื่นๆ
คือเป็นการจดออเดอร์ด้วยกระดาษ แต่ปัญหาการจดออเดอร์
ด้วยกระดาษนั้น ทำให้การจัดเรียงออเดอร์ในครัวทำได้ช้า
เนื่องจากบางครั้งลูกค้าก็ไม่ได้สั่งออเดอร์แบบเรียงลำดับ
ตามเมนู ทาง MK จึงได้แก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนมาเป็น
เมนูอาหารให้ลูกค้าติ๊กเอง เพื่อให้ง่ายและเร็วต่อการจัดเสิร์ฟ
ถึงแม้จะแก้ปัญหาได้แล้ว แต่ทาง MK ก็ยังไม่หยุดพัฒนา
โดยในปี 2546 ก็ได้นำเครื่อง PDA มาใช้ในการรับออเดอร์ลูกค้า
เพื่อทำให้บริการเร็วยิ่งขึ้น และปี 2552 ก็ได้มีการใช้ iPad
มาไว้ให้ลูกค้ากดสั่งอาหารที่โต๊ะได้เอง ซึ่งการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมา
ใช้นั้น นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องความเร็วและการจัดการออเดอร์แล้ว
ยังเป็นการช่วยลดงานของพนักงานได้ด้วย เรียกว่าเป็นการแก้ปัญหา
แบบยิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัวเลยทีเดียว
.
อย่างที่เรารู้กันดีว่าการทำธุรกิจกับปัญหานั้นเป็นของคู่กัน
เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจมองว่าปัญหาเป็นอุปสรรคที่ทำให้ธุรกิจ
หงุดชะงัก หรือเดินต่อไปไม่ได้ ซึ่งการคิดอย่างนั้นยิ่งเป็นการ
บั่นทอนกำลังใจในการผลักธุรกิจให้เดินหน้าต่อ
แต่ MK กลับไม่คิดอย่างนั้น
แม้จะเจออุปสรรคตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำร้าน
แต่ MK กลับมองว่านั่นเป็นโอกาส
และเมื่อไหร่ที่เราแก้ปัญหาได้ล่ะก็ เราก็จะเป็นผู้ชนะ
.
(ขอบคุณบทความดีๆจาก : everydaymarketing)