ห้องเม่าปีกเหล็ก

เป้าหมายของ BCPG 5 ปี กับการเติบโต 100%

โดย Rubio
เผยแพร่ :
68 views

บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG ประกาศแผนลงทุน 5 ปี ด้วยงบ 9.5 หมื่นล้านบาท ลุยลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดต่างประเทศ ดันกำลังการผลิตแตะ 2,000 เมกะวัตต์ และแตกไลน์ธุรกิจใหม่เพิ่ม พร้อมวางเป้าหมายรายได้ปี 2565 เติบโตอีก 25% จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 100 เมกะวัตต์ ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 2,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% ด้านบอร์ดมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวด 6 เดือนหลังอีก 0.17 บาทต่อหุ้น เริ่มจ่ายในวันที่ 22 เมษายนนี้

นิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG เปิดเผยว่า ความต้องการพลังงานสะอาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจหลักของบริษัท จึงจัดสรรงบลงทุนสำหรับ 5 ปีจากนี้ (2565-2569) จำนวน 95,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดหวังว่าใน 5 ปีจากนี้ กำลังการผลิตของบริษัทจะเพิ่มเป็น 2,000 เมกะวัตต์ จากสิ้นปี 2564 ที่มีกำลังการผลิต 1,100 เมกะวัตต์

แผนลงทุน 5 ปี จะเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในไต้หวันและจีน ซึ่งบริษัทมองว่ามีโอกาสในการขยายธุรกิจอีกมาก โดยเฉพาะไต้หวันที่มีความต้องการใช้พลังงานสะอาดค่อนข้างสูงในภาคอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ BCPG ยังมีแผนขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิม เพื่อต่อยอดการเติบโต
โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเริ่มดำเนินการและกำลังพัฒนา ประกอบไปด้วย
1. ธุรกิจ Smart City ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้วที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. ธุรกิจ EV Charging Station
3. ธุรกิจ Smart Infrastructure

"สัดส่วนรายได้ใน 5 ปีจากนี้ รายได้หลักประมาณ 85-90% ยังมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ส่วนธุรกิจใหม่ต่างๆ น่าจะสร้างรายได้รวมกันคิดเป็นสัดส่วน 10-15%" นิวัติกล่าว
... สำหรับแหล่งเงินทุนมาจากส่วนหนี้และส่วนทุนในอัตรา 3 ต่อ 1 โดยปัจจุบัน BCPG มีต้นทุนทางการเงินอยู่ราว 2.9% จึงยังสามารถกู้จากธนาคารพาณิชย์ได้

 

เล็งลงทุนในต่างประเทศ
บริษัทวางงบลงทุนไว้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม บริเวณแขวงเซกองและอัตตะปือ สปป.ลาว ผ่านบริษัทร่วมทุน อิมแพค เอนเนอร์ยี่ เอเซีย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (Impact Energy Asia Development Limited) มีกำลังการผลิตรวม 230 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนการลงทุน 45% เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่เวียดนาม ซึ่งขณะนี้โครงการยังอยู่ระหว่างการพัฒนา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 66

รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน กำลังการผลิต 469 เมกะวัตต์ วางเป้าจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 66 ที่ 162 เมกะวัตต์ และยังตั้งเป้าพัฒนาสู่ 1,000 เมกะวัตต์ใน 5 ปี, โครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ในโครงการ T77 และโครงการ Smart University มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 4.2 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่เมืองนาบาส (Nabas) บนเกาะวิซายัส (Visayas) ประเทศฟิลิปปินส์ กำลังการผลิต 5.6 เมกะวัตต์

นอกจากนี้บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในฟิลิปปินส์ และอินโดไชนา โดยเฉพาะเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแหล่งเงินลงทุนดังกล่าว จะมาจากเงินในมือที่มีอยู่ 65,000 ล้านบาท รวมกับเม็ดเงินที่จะได้รับจากการออกหุ้นกู้ และเงินกู้ รวมถึงการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย รวมประมาณ 30,000 ล้านบาท ทำให้เพียงพอสำหรับการลงทุนตามแผน

"เรามีโครงการและแผนการลงทุนที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้ (65-66) ซึ่งเราได้วางแผนการลงทุนที่ต้องใช้เงินเกือบ 70,000 ล้านบาท ทำให้ตัดสินใจขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ประเทศอินโดนีเซีย แม้จะเป็นสินทรัพย์ที่ดี มีกระแสเงินสดมั่นคง แต่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการใหม่เพื่อสร้างความเติบโต (Growth) ค่อนข้างนานกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ซึ่งอาจจะตอบสนองกลยุทธ์การขยายการเติบโตเราได้ไม่ทันการณ์ การขายโครงการฯ จึงเป็นการเพิ่มความสามารถในการลงทุนของเราให้มากขึ้น ทำให้ขยายการลงทุนใหม่เพื่อหารายได้มาทดแทน Adder ที่กำลังจะหมดลงได้ด้วย ทำให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้ตามแผนโดยไม่ต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด" นายนิวัติ กล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทขายหุ้นใน Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. (SEGHPL) คิดเป็นสัดส่วน 33.33% ให้แก่ Springhead Holdings Pte Ltd. หรือบริษัทย่อยของ Springhead Holdings Pte Ltd. ในราคา 440.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่า 14,566.9 ล้านบาท จากมูลค่าทางบัญชี 12,295 ล้านบาท ณ สิ้นปี 64 โดยคาดว่าจะรับรู้กำไรเข้ามาภายในไตรมาส 1/65

นายนิวัติ กล่าวอีกว่า สำหรับปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 โต 25% จากปีก่อนทำได้ 4,231 ล้านบาท จากการ COD โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเดือน มี.ค.จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โคมากาเนะ กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าฯ ยาบุกิ กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าฯ ชิบะ 2 กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ อยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาตฯ

อีกทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City) กำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์ โดยในปีนี้จะมีการนำระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี่) ไปใช้ในการบริหารจัดการพลังงานที่โครงการนี้อีกด้วย รวมทั้งคาดว่าจะมีโครงการที่สามารถบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการเข้ามาเพิ่มเติมในปีนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะส่งผลให้ปีนี้กำลังการผลิตจะเพิ่มอีก 100 เมกะวัตต์

ปัจจุบัน BCPG มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 1,108.4 เมกะวัตต์ โดยมีการ COD ไปแล้ว 345 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 764 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ได้ครบทั้งหมดภายในปี 67

 

ปี 2565 วางเป้าเติบโต 25%
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายรายได้เติบโต 25% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 4.6 พันล้านบาท โดยมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอีกราว 100 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ทั้งปีนี้จะมีกำลังการผลิตรวม 1,200 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกัน ในระยะ 5 ปีจากนี้ บริษัทคาดว่าอีบิทดาจะเพิ่มขึ้น 35% จากสิ้นปี 2564

ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในงวดปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบปี 2563 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 4,231 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 2,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 1,959 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,137 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 536 ล้านบาท

“สำหรับในภาพรวมของปี 2564 บริษัทยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 7.7 เมกะวัตต์ ได้เปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามกำหนด และรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 รวมทั้งบริษัทยังรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น จากการปรับปรุงประสิทธิภาพแผงโซลาร์” นิวัติกล่าว

 

บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผล 0.17 บาทต่อหุ้น
พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564 หรือครึ่งปีหลัง ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อรวมเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปแล้วจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นเงินปันผลทั้งปี 0.33 บาทต่อหุ้น

กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลและเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 มีนาคม 2565 รายชื่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้รับสิทธิการจ่ายเงินปันผลและไม่ได้รับสิทธิเข้าประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 3 มีนาคม 2565 (XD และ XM) กำหนดจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งปีหลังในวันที่ 22 เมษายน 2565 ทั้งนี้ บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 แล้ว

โดยกำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 7 เมษายน 2565 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท

ทั้งนี้ บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นผู้ประกอบการและลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังน้ำ ในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1,100 เมกะวัตต์

----------------------------------------------------

Reference
https://www.ryt9.com/s/iq05/3298098

https://thestandard.co/bcpg-invested-5-years-fund-on-clean-energy-power-plant/


Rubio